ความเคลื่อนไหวราคาหุ้น บมจ.สเตคอน กรุ๊ป (STECON) ครึ่งวันแรกของวันนี้ (5 กันยายน) พุ่งขึ้นแตะ 9.25 บาท เพิ่มขึ้น 16% จากวันทำการก่อนหน้า จ่อทำสถิติสูงสุดใหม่ (All Time High) หากราคาสามารถทะลุจุดสูงสุดเดิมที่ 9.70 บาท
STECON มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นตระกูล ‘ชาญวีรกูล’ ซึ่งเป็นตระกูลของ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทย
หุ้น STECON เกิดขึ้นมาจากการที่ บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC) ได้จัดตั้งธุรกิจ Holding Company ภายใต้ชื่อ STECON เพื่อรองรับการปรับโครงสร้างการถือหุ้นของกิจการ และขอให้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยรับหุ้นสามัญของ STECON เป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนแทน STEC ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567
STECON เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ วันแรกเมื่อ 29 ตุลาคม 2567 เปิดการซื้อขายที่ 9.60 บาท โดยระหว่างวันราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 9.70 บาท
ช่วง 11 วันที่ผ่านมา ราคาหุ้น STECON พุ่งขึ้นมาแล้ว 51% พร้อมกับทำจุดสูงสุดในรอบกว่า 10 เดือน อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้น STECON ล่าสุดสูงกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ยของนักวิเคราะห์จาก 14 บริษัทที่ประเมินไว้ที่ราว 8.9 บาท ขณะที่ราคาเป้าหมายสูงสุดที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้อยู่ที่ 10 บาท
ภาดล วรรณรัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้น STECON พุ่งขึ้นมาแรงจากเรื่องการโหวตนายกฯ ซึ่งในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้มีมติเลื่อนวาระดังกล่าวให้เร็วขึ้น
“ปัจจุบันโครงการภาครัฐในงบประมาณปี 2568 ตกเบิกอยู่ราว 5 แสนล้านบาท หากได้รัฐบาลใหม่เชื่อว่าจะมีการใช้งบประมาณผ่านโครงการภาครัฐ ทั้งจากงบประมาณปี 2568 และงบประมาณปี 2569 ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้างโดยตรง” ภาดลกล่าว
แต่สำหรับหุ้น STECON ที่ราคาปรับตัวขึ้นมาเร็ว แน่นอนว่ามาจากปัจจัยการเมืองเป็นหลัก ในเชิงกลยุทธ์ไม่แนะนำให้เก็งกำไรต่อเนื่อง เพราะอาจเกิดการ sell on fact เกิดขึ้นได้หลังจากทราบผลโหวตนายกฯ
“คิดว่านักลงทุนควรเลือกหุ้นที่จะได้ประโยชน์ในระยะกลางจากรัฐบาลชุดใหม่มากกว่า อย่างกลุ่มค้าปลีกที่จะได้แรงหนุนจากมาตรการช่วยเหลือกลุ่มคนชั้นกลางและฐานราก หรือกลุ่มไฟแนนซ์ที่อาจได้ประโยชน์จากมาตรการพักชำระหนี้ หรือกลุ่มโรงแรมหากมีการนำโครงการคนละครึ่งกลับมา”
สำหรับราคาหุ้น STECON ที่พุ่งขึ้นมาเกินราคาเหมาะสมที่นักวิเคราะห์ประเมินไว้แล้ว หลังจากนี้ต้องติดตามพื้นฐานธุรกิจจะดีขึ้นตามมากน้อยเพียงใด ซึ่งการปรับราคาเหมาะสมขึ้นของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นได้ทั้งจากมุมมองเชิงบวกที่มากขึ้น ซึ่งจะเกิดขึ้นได้เร็วกว่า หรือมาจากกำไรที่ดีกว่าที่คาดไว้ เป็นปัจจัยที่ต้องติดตามหลังจากนี้
ด้าน บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส ระบุว่า บริษัทยังคงเป้าหมายปี 2568 โดยตั้งเป้ารายได้ก่อสร้างปีนี้ไว้ที่ 3.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3 หมื่นล้านบาท ในปี 2567 โดยมีทั้งงานภาครัฐและเอกชน ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 7% ขณะที่ครึ่งปีแรกทำได้ 7.5%จากการเพิ่มสัดส่วนงานภาคเอกชนที่ให้อัตรากำไรสูงกว่า
แนวโน้มครึ่งปีหลังนี้ รายได้จากการก่อสร้างเพิ่มขึ้น โดยหลักมาจากงานก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ 7 โครงการ และโครงการดาต้าเซ็นเตอร์ ทั้งนี้โดยปกติรายได้ก่อสร้างในครึ่งปีหลังจะสูงกว่าครึ่งปีแรก
ทั้งนี้ งานในมือ (Backlog) ที่สูง 1.27 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 ทำให้รายได้มีความมั่นคงใน 3 ปีข้างหน้า ในปีนี้ตั้งเป้าได้งานใหม่ 5 หมื่นล้านบาท ซึ่ง ณ ปัจจุบัน ได้มาแล้ว 2.6 หมื่นล้านบาท ส่วนที่เหลือคาดว่าจะได้งานใหม่จากภาคเอกชนเป็นหลัก