ความเคลื่อนไหวราคาหุ้นของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ซึ่งจะทำการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันนี้ (30 มิถุนายน) เป็นวันสุดท้ายก่อนจะถูกขึ้นเครื่องหมาย SP ล่าสุดราคาหุ้นมีการซื้อขายที่ราคา 0.02-0.03 บาท โดย ณ เวลา 10.40 น. มีปริมาณการซื้อขายราว 70 ล้านหุ้น
ทั้งนี้ จากกรณีที่ วนรัชต์ ตั้งคารวคุณ รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ STARK เสนอ 4 แนวทางในการแก้ไขวิกฤตของบริษัท โดยจะใช้เวลาพิจารณาถึงวันที่ 19 กรกฎาคม 2566
ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น มองว่าเปรียบเสมือนการมัดมือมัดเท้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียสำคัญคือผู้ถือหุ้นรายย่อยของบริษัทมากกว่า 11,000 ราย เนื่องจากตลาดหลักทรัพย์กำหนดให้ซื้อขายหุ้น STARK ในวันนี้ (30 มิถุนายน) เป็นวันสุดท้าย โดยที่มีข้อมูลที่ไม่เพียงพอต่อการตัดสินใจสำคัญ และกระทบต่อการได้เสียมหาศาล
กล่าวคือหากคณะผู้บริหาร STARK เลือกแนวทางข้อ 3 คือ เพิ่มทุนจดทะเบียน ทั้งจากผู้ถือหุ้นเดิม หรือผู้ลงทุนใหม่ ก็สมควรต้องประกาศให้ชัดเจนอย่างช้าสุดในวันนี้ เช่น หากเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิม กลุ่มนายวนรัชต์จะคงรักษาสัดส่วนเดิมหรือไม่ หรือหากขายรายใหม่ก็ต้องประกาศชัดเจนว่าเป็นใคร เช่น กลุ่ม TOA หรือพันธมิตร และได้เพิ่มทุนจนทำให้ส่วนผู้ถือหุ้นกลับมาบวก มีเงินมาหมุนเวียนกิจการหรือไม่
“หากคำตอบชัดเจนในวันนี้ ผู้ถือหุ้นรายย่อย 11,000 ราย ก็อาจมีทางเลือกทนถือหุ้นเอาไว้ เพื่อให้กิจการฟื้นตัวกลับมา หุ้นในมือก็อาจจะกลับมามีมูลค่า แต่หากไม่มีคำตอบวันนี้ ต้องไปรอวันที่ 19 กรกฎาคม ไม่มีความชัดเจนใดๆ แล้วแนวทางเพิ่มทุนล้มเหลว ต้องไปสู่แนวทางต่อไปคือยื่นล้มละลาย หากผู้ถือหุ้นรายย่อยถือไว้ก็เสี่ยงกลายเป็นศูนย์”
แต่หากคณะผู้บริหารจะประกาศชัดเจนเลยในวันนี้ว่าจะเลือกทางล้มละลาย ทางผู้ถือหุ้นรายย่อยก็จะได้ตัดใจขายทิ้งไป แม้จะแทบไม่มีมูลค่าแล้ว และค่อยเดินหน้าฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายชดเชยกันต่อไป
“ผมจึงขอเสนอให้ผู้บริหาร STARK ประกาศให้ชัดเจนในวันนี้ หรือไม่ทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็สมควรต้องยืดหยุ่นเวลากำหนดการซื้อขายก่อนจะแขวนป้าย SP ยาวออกไป อย่างน้อยถึงวันที่ 19 กรกฎาคม หรือทราบแนวทางเลือกที่ชัดเจนของผู้บริหาร STARK เนื่องจากในเวลานี้มีข้อมูลไม่เพียงพอ มีผลกระทบต่อการได้เสียมหาศาล กล่าวคือหากแนวทางเพิ่มทุนสำเร็จก็อาจมีโอกาสที่หุ้นจะกลับมามีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่หากล้มเหลว และเลือกหนทางล้มละลายก็อาจเสี่ยงกลายเป็นศูนย์”
อย่างไรก็ดีล่าสุดมีข่าวลือว่า ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องอาจจะพิจารณาแนวทางเลือกที่ 1, 2 และ 4 เป็นหลัก กล่าวคือเจรจาขอลดยอดหนี้ให้เหลือต่ำที่สุด อาจชำระเพียงไม่เกิน 500 ล้านบาท จากนั้นอาจจะแยกส่วนโรงงาน หรือธุรกิจที่มีคุณภาพดี เช่น โรงงานผลิตสายไฟฟ้าเฟ้ลป์ส ดอดจ์ ที่มีมูลค่าไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท ขายออกไปในราคาเพียง 500 ล้านบาท แล้วก็มาตั้งนอมินีมารับซื้อไว้เองในราคาต่ำมาก หรือเหมือนกับได้ฟรี โดยอ้างว่าขายเพื่อเร่งชำระหนี้ จากนั้นก็ยื่น STARK ที่เหลือแต่โครงเข้าโหมดล้มละลาย ความเสียหายนับแสนล้าน ตกเป็นของผู้ถือหุ้น เจ้าหนี้ และเจ้าหนี้สถาบันการเงิน
สำหรับ 4 แนวทางการแก้วิกฤตที่เกิดขึ้นที่กล่าวไปตอนต้น ประกอบด้วย
- เจรจากับเจ้าหนี้ที่สำคัญทั้งหมด เพื่อให้เจ้าหนี้ต่างๆ ระงับการใช้สิทธิเรียกร้องให้ชำระหนี้โดยพลัน สนับสนุนแผนการปรับโครงสร้างทุนและโครงสร้างหนี้ของบริษัท รวมถึงให้ความช่วยเหลือทางการเงิน เพื่อวางแผนการบริหารการชำระหนี้ และวางแผนธุรกิจทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
- จำหน่ายทรัพย์สิน (เช่น หุ้นในบริษัทย่อยที่ไม่ได้ดำเนินธุรกิจของบริษัท สิทธิเรียกร้องในสัญญาที่สำคัญ) และปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณธุรกิจ เพื่อเพิ่มรายได้และลดต้นทุนคงที่และค่าใช้จ่ายของบริษัท
- เพิ่มทุนจดทะเบียน เพื่อจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมในปัจจุบันหรือพิจารณาหานักลงทุนรายใหม่ เพื่อเพิ่มส่วนของผู้ถือหุ้นและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท
- ยื่นคำร้องต่อศาลล้มละลายเพื่อดำเนินการฟื้นฟูกิจการเพื่อปรับโครงสร้างทุนและโครงสร้างหนี้ของบริษัท รวมถึงให้สิทธิการแปลงหนี้เป็นทุนแก่เจ้าหนี้ภายใต้แผนฟื้นฟูกิจการ