แม้แต่เชนกาแฟยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง ‘สตาร์บัคส์’ (Starbucks) ก็ไม่อาจหลีกหนีผลกระทบจากโควิด-19 เมื่อบริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการประจำช่วงไตรมาส 3 ของปีงบการเงิน 2020 ที่ผ่านมา (เมษายนถึงมิถุนายน) และพบว่ามีรายได้รวมลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วมากถึง 38% สืบเนื่องจากวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้น
โดยสตาร์บัคส์มีรายได้รวมในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมาที่ 4,222 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 132,700 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 38% ซึ่งเคยมีรายได้มากถึง 6,823 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 214,400 ล้านบาท
นอกจากนี้พวกเขายังขาดทุนสุทธิไปทั้งสิ้น 678 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 21,325 ล้านบาท จากที่ก่อนหน้านี้ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วเคยมีกำไรสุทธิถึง 1,372 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 43,100 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการระบาดของโควิด-19 ในช่วงเวลาดังกล่าวที่ทำให้บริษัทไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้ดังเดิม
เควิน จอห์นสัน ประธานและซีอีโอของบริษัทสตาร์บัคส์ ให้ข้อมูลผ่านรายงานผลประกอบการบริษัทว่า “นับตั้งแต่เกิดการระบาดของโควิด-19 ในเดือนมกราคม เราได้ปฏิบัติตามแนวทางหลักของเราเพื่อผ่าวิกฤตที่เกิดขึ้น โดยยังยึดถือภารกิจหลักและค่านิยมของบริษัท โดยทุกๆ ขั้นตอนการดำเนินการ เราได้ตอบสนองความต้องการของสเตคโฮลเดอร์ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ
“เรารู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างย่ิงต่อการลงทุนในระดับแนวหน้าภาคอุตสาหกรรมของเรา เราได้ให้การสนับสนุนพาร์ตเนอร์ (พนักงาน) ของเราในขณะที่ต้องมุ่งสร้างความปลอดภัย ประสบการณ์ที่สะดวกสบายและคุ้นเคยกับลูกค้าทุกคน เป้าหมายการโฟกัสของสตาร์บัคส์ในระยะอันใกล้นี้จะมุ่งเน้นการเร่งให้ยอดขายกลับมาฟื้นตัวได้อย่างปลอดภัย ยั่งยืน ด้วยการนำเสนอประสบการณ์ที่ห่วงใย และสะดวกให้กับลูกค้า”
สำหรับสาขาสโตร์สตาร์บัคส์ทั่วโลก ณ ไตรมาสที่ 3 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 32,180 แห่ง นับเป็นจำนวนสาขาใหม่ที่ 130 แห่ง เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 5% ในจำนวนนี้ 61% เป็นสัดส่วนของสาขาในสหรัฐฯ (15,243 แห่ง) และจีน (4,447 แห่ง) ตามลำดับ
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
