เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (29 พ.ค.) สตาร์บัคส์ประมาณ 8,000 สาขาทั่วสหรัฐอเมริกาหยุดให้บริการเป็นเวลา 4 ชั่วโมงในช่วงบ่าย เพื่อให้พนักงานกว่า 175,000 คนทั่วประเทศได้เข้าอบรมเรื่องอคติทางเชื้อชาติ
การอบรมครั้งนี้เป็นผลพวงมาจากการที่มีลูกค้าชายสองคนถูกจับกุมขณะนั่งอยู่ในสตาร์บัคส์สาขาหนึ่งในรัฐฟิลาเดลเฟีย เนื่องจากพนักงานผิวขาวคนหนึ่งโทรเรียกตำรวจโดยกล่าวหาว่าทั้งคู่บุกรุก ถึงแม้พวกเขาพยายามอธิบายว่าตนเพียงนั่งรอเพื่อนมาประชุมธุรกิจเท่านั้น
การกระทำดังกล่าวถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียและสร้างความโกรธแค้นให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก ด้านนายโฮวาร์ด ชูลท์ส ประธานของสตาร์บัคส์บอกว่า การอบรมและฝึกฝนพนักงานที่ไม่เพียงพอและอคติทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
ชูลท์สยังเรียกการกระทำนี้ว่า ‘เลวทราม’ ในจดหมายเปิดผนึกถึงลูกค้า จดหมายฉบับนี้ยังลงโฆษณาเต็มหน้าในหนังสือพิมพ์ The New York Times, USA TODAY และหนังสือพิมพ์ฟิลาเดลเฟียอีก 2 ฉบับ เพื่อเป็นการขอโทษต่อสิ่งที่เกิดขึ้นอีกด้วย
โดยรายละเอียดของการอบรมคือการจัดกลุ่มของพนักงานและให้ดูวิดีโอจากแท็บเล็ตความยาว 7 นาทีที่สตาร์บัคส์จัดทำขึ้น ในเนื้อหาของวิดีโอจะมีทั้งบทสัมภาษณ์ของผู้คนที่มีประสบการณ์ถูกเหยียดเชื้อชาติหรือสีผิว รวมไปถึงวิดีโอเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นในหลายๆ ที่ด้วย ทั้งนี้พนักงานทุกคนจะได้รับสมุดบันทึก ซึ่งหน้าปกเขียนว่า สมุดโน้ตของฉัน ซึ่งภายในเล่มนั้นมีหน้าหนึ่งที่เขียนหัวข้อว่า ‘อะไรทำให้ฉันเป็นฉัน และอะไรที่ทำให้คุณเป็นคุณ’
หลังจากดูวิดีโอแล้วพนักงานส่วนหนึ่งให้ความเห็นถึงความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของอคตินั้น เห็นภาพตัวเองเป็นผู้ทำหรือถูกกระทำ และในกลุ่มอบรมนั้นสามารถพูดคุยเปิดอกกันถึงบทสนทนาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น
การอบรมนี้ถูกออกแบบขึ้นมาจากผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาเพื่อให้พนักงาน ‘มีความเข้าใจในอคติทางเชื้อชาติและประวัติศาสตร์ที่พักสาธารณะของอเมริกา’ สอดคล้องกับความต้องการของนโยบายบริษัท ที่ต้องการให้ร้านมีบรรยากาศที่เป็นมิตรมากขึ้น โดยบริษัทเองได้เปลี่ยนนโยบายแล้วอย่างการให้คนที่ไม่ซื้อกาแฟหรือสินค้าภายในร้านเข้ามาใช้ห้องน้ำ รวมถึงเข้ามานั่งได้ฟรีในช่วงที่ผ่านมา
“เราเข้าใจดีว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอเมริกาได้ภายใน 4 ชั่วโมง” ชูลท์สกล่าว พร้อมทั้งบริษัทนั้นสัญญาจะเดินหน้าศึกษาและพยายามวางรากฐานการแก้ปัญหานี้ต่อไป และยืนยันว่าการอบรมครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
อ้างอิง: