ภาพจำของแบรนด์ไทยที่อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนานกว่า 76 ปีอย่าง ‘ศรีจันทร์’ กำลังถูกสร้างนิยามใหม่ผ่านการเดินทางที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการปรับตัวและเติบโตในตลาดผลิตภัณฑ์ความงามที่มีการแข่งขันสูง สะท้อนผ่านผลการดำเนินงานที่น่าสนใจตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
บริษัท ศรีจันทร์ สหโอสถ จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายแบรนด์ ‘ศรีจันทร์ (SRICHAND)’ และ ‘ศศิ (sasi)’ ได้เปิดเผยผลการดำเนินงานล่าสุดที่สร้างรายได้รวมสูงถึง 1,600 ล้านบาท พร้อมกับการเป็นแบรนด์ไทยอันดับ 1 ในตลาดสกินแคร์หมวดมอยส์เจอไรเซอร์ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์การสร้างแบรนด์อย่างมีเป้าหมาย หรือ ‘Purposeful Brand’
รวิศ หาญอุตสาหะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ศรีจันทร์สหโอสถ จํากัด กล่าวว่า แม้จะต้องเผชิญกับความท้าทายทางเศรษฐกิจ แต่บริษัทสามารถปรับตัวและสร้างการเติบโตจนมียอดขายรวมทะลุ 1,000 ล้านบาทได้ตั้งแต่ปี 2566 และเติบโตต่อเนื่องในระดับ Double Digit มาโดยตลอด
การเติบโตดังกล่าวสะท้อนจากอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) ของแบรนด์ศรีจันทร์ และ ศศิ ที่สูงถึง 51% และ 53% ต่อปีตามลำดับในช่วงปี 2564–2567 ซึ่งเป็นผลที่มาจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
ปัจจัยสำคัญมาจากการขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ศรีจันทร์ที่ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ ‘แป้ง’ โดยเฉพาะการเข้าสู่ตลาดสกินแคร์ตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งเติบโตถึง 148% ในปี 2567 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และตั้งเป้ายอดขายในกลุ่มนี้ให้เพิ่มขึ้นอีก 45% ภายในปี 2568
ในขณะเดียวกัน กลุ่มผลิตภัณฑ์ครีมกันแดดก็เติบโต 73% และกลุ่มเมคอัพเติบโต 11% โดยแป้งฝุ่นโปร่งแสง ‘Bare to Perfect Translucent Powder’ ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายอันดับ 1 ในกลุ่มแป้งฝุ่นของประเทศไทย อ้างอิงจากข้อมูลของ NielsenIQ ประเทศไทย ตั้งแต่เดือนมกราคม 2566 ถึงเมษายน 2568
อีกปัจจัยคือแบรนด์ศศิซึ่งก่อตั้งในปี 2560 ถูกวางตำแหน่งให้เป็นแบรนด์ที่คุ้มค่าและทันสมัยเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่โดยเฉพาะ ทำให้ศศิมีการเติบโตเฉลี่ยสะสม (CAGR) มากกว่า 50% ต่อปีในช่วงปี 2564-2567
ขณะที่ผลประกอบการ ยอดขายรวมของบริษัทฯ เติบโตจาก 520 ล้านบาทในปี 2564, สู่ 717 ล้านบาทในปี 2565, ทะลุ 1,019 ล้านบาทในปี 2566 และขึ้นเป็น 1,600 ล้านบาทในปี 2567 โดยตั้งเป้าเติบโตต่อเนื่องอีก 30-40% ในปี 2568
เป้าหมายการเป็นแบรนด์ที่สร้างความภูมิใจให้คนไทยนั้นถูกถ่ายทอดผ่าน 4 กลยุทธ์หลัก เริ่มจากการรักษาเอกลักษณ์ ‘Modern Classic Thainess’ ผ่านการคงชื่อแบรนด์และการระบุคำว่า ‘SRICHAND BANGKOK 1948’ ลงบนผลิตภัณฑ์ เพื่อย้ำถึงแก่นแท้ของความเป็นไทยในบริบทที่ทันสมัย
กลยุทธ์ต่อมาคือการเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นตัวแทนของความเป็นไทยร่วมสมัย เช่น ใบเฟิร์น พิมพ์ชนก สำหรับกลุ่ม Base Makeup, โบว์ เมลดา สำหรับกลุ่ม Sunscreen และ แบมแบม กันต์พิมุกต์ สำหรับกลุ่ม SRICHAND IN-SKIN ซึ่งแต่ละคนสะท้อนภาพลักษณ์ที่สอดคล้องกับผลิตภัณฑ์นั้นๆ ได้เป็นอย่างดี
กลยุทธ์ที่สามคือการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้เทียบเท่าระดับสากล ผ่านการลงทุนด้าน R&D อย่างจริงจัง โดยใช้ข้อมูลแนวโน้มตลาดและการวิจัยมาคัดเลือก Active Ingredients ที่มีเทคโนโลยีโดดเด่น เพื่อให้มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์จะให้ผลลัพธ์ที่ดีตามที่ระบุไว้
และสุดท้ายคือการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่งและดึงดูดคนรุ่นใหม่ โดยเน้นเรื่อง Resilience หรือความพร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลง และให้ความสำคัญกับสวัสดิการที่ส่งเสริมความเท่าเทียม เช่น การลาคลอดสูงสุด 6 เดือน การลาดูแลภรรยาหลังคลอดบุตร และการลาเพื่อผ่าตัดแปลงเพศ
ผลจากการวางรากฐานที่แข็งแกร่งทั้งด้านผลิตภัณฑ์และองค์กร ทำให้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์มอยส์เจอไรเซอร์ โดย ‘ศรีจันทร์ สกิน มอยส์เจอร์ เบิร์ส เจล ครีม แบบซอง 10 มล.’ ทำให้ศรีจันทร์เป็นแบรนด์ไทยอันดับ 1 ในหมวดนี้ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 3.36% (ข้อมูลจาก NIELSENIQ THAILAND ม.ค. 2568 – มิ.ย. 2568)
แบรนด์ศรีจันทร์ในหมวดมอยส์เจอไรเซอร์มีอัตราการเติบโต 70.9% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดที่เติบโตเพียง 2.73% (ข้อมูลจาก NIELSENIQ THAILAND เทียบระหว่าง ม.ค – มิ.ย. 2567 และ ม.ค – มิ.ย. 2568)
ความสำเร็จนี้เชื่อมโยงกับกลยุทธ์ ‘In-Skin Sachet Strategy’ ได้แก่การพัฒนาสูตรเหมาะกับผิวคนไทย, การตั้งราคาที่คุ้มค่า เข้าถึงง่าย และมีช่องทางจำหน่ายที่ครอบคลุม ทั้งออนไลน์และออฟไลน์, การสื่อสารการตลาดที่เข้าใจ Insight ของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
และการเลือกพรีเซ็นเตอร์ที่สร้างการเชื่อมโยงกับผู้บริโภค โดยการเลือก ‘แบมแบม-กันต์พิมุกต์’ มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ SRICHAND IN-SKIN ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีทั้งหมด 12 รายการ ได้ช่วยเพิ่มยอดขายอย่างมีนัยสำคัญถึง 77% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า
จากกลยุทธ์เหล่านี้ ยังส่งผลให้ศรีจันทร์ได้รับรางวัล ‘Brand Footprint 2025: Outstanding Brand’ ในหมวด Facial Care ภายใต้การเก็บข้อมูลของ Worldpanel by Numerator Thailand ซึ่งเป็นแบรนด์ไทยเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับรางวัล ด้วยคะแนน Consumer Reach Points (CRPs) สูงถึง 6.7 ล้านคะแนน
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มของ T-Beauty ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยมีสัญญาณที่น่าสนใจคือเทรนด์ ‘สุวาอิ เมคุ’ หรือการแต่งหน้าแบบไทยที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น
ลักษณะเด่นของเทรนด์ดังกล่าวคือการใช้รองพื้นกึ่งแมตต์ ปัดขนคิ้วให้ตั้งขึ้นเล็กน้อยเพื่อโชว์ความเรียงตัวเป็นธรรมชาติ ใช้อายแชโดว์โทนธรรมชาติ กรีดอายไลน์เนอร์ และใช้ลิปสติกเนื้อเซมิแมตต์ ซึ่งสะท้อนถึงความสนใจในเอกลักษณ์ความงามแบบไทยที่เพิ่มมากขึ้น
จากแนวโน้มดังกล่าว ศรีจันทร์จึงตั้งเป้าที่จะต่อยอดสู่การเป็นแบรนด์ระดับภูมิภาค โดยมีเป้าหมายหลักคือตลาดอาเซียนและเอเชีย และตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนยอดขายจากต่างประเทศให้เป็น 10-15% ภายใน 3 ปี ผ่านกลยุทธ์การหาคู่ค้าทางธุรกิจที่มีศักยภาพในแต่ละประเทศ