วานนี้ (15 มีนาคม) เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงจดหมายของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เขียนเป็นบทสรุปในการก้าวข้ามความขัดแย้ง ว่าตนยังไม่ได้อ่านจดหมายของ พล.อ. ประวิตร ที่ระบุว่าจะก้าวข้ามความขัดแย้งในอดีต แต่ทางพรรคเพื่อไทยไม่มีความขัดแย้งกับใคร พรรคมีความขัดแย้งกับความยากจน ความไม่เสมอภาค ความไม่เท่าเทียม จากนี้ไปจนถึงวันยุบสภา จนถึงวันเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยจะกลั่นนโยบายให้โดนใจประชาชนให้มาก ขณะนี้อยู่ที่พรรคเพื่อไทยอย่างเดียว ซึ่งมีเป้าหมายที่จะให้ได้เสียงแลนด์สไลด์มากที่สุด ซึ่งช่วงนี้เป็นการจัดทำนโยบายและเผยแพร่นโยบายให้กับประชาชน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าจดหมายของ พล.อ. ประวิตรมีนัยทางการเมืองหรือไม่ เพราะต้องการจะจับมือกับทุกพรรคการเมือง เศรษฐาระบุว่า ตนยังไม่ได้อ่านจดหมายของ พล.อ. ประวิตร แต่ก็ชอบคำที่ว่าก้าวข้ามความขัดแย้ง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 14 มีนาคม มีการอนุมัติงบฯ กว่า 1.7 แสนล้านบาท อาจมีผลซื้อใจประชาชนช่วงสุดท้ายก่อนเลือกตั้ง เศรษฐากล่าวว่า ก็ถือว่าเยอะอยู่ ทั้งนี้ จะต้องดูและติดตามการบริหารจัดการว่าเป็นนโยบายที่ทำเพื่อประชาชนจริงหรือไม่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การขึ้นเงินเดือนค่าตอบแทนให้กับองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นการหาเสียงหรือไม่ เศรษฐาระบุว่า ตนยังไม่ได้ดูตัวเลข แต่ถ้ามีการใช้จ่ายไปแล้ว ทางภาครัฐจะได้งบประมาณกลับมาอย่างไร จะมีรายได้เข้ามาอย่างไรต้องดูทั้งองค์รวม และยังพูดไม่ได้ในตอนนี้
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การที่มีอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของพรรคพลังประชารัฐเข้ามาสู่พรรคเพื่อไทยจะเป็นการตอกย้ำแลนด์สไลด์ 310 เสียงได้หรือไม่ เศรษฐากล่าวว่า ตนเองคิดว่าอยู่ที่นโยบายที่จะมีการเผยแพร่ออกไปในอดีต ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนมาถึงพรรคเพื่อไทย เราใช้นโยบายนำ เป็นนโยบายที่ทำได้จริง โดยใช้นโยบาย ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’ โดยจะใช้นโยบายเป็นเรื่องหลัก ส่วน ส.ส. ที่จะย้ายมาจากพรรคใด หรือ ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ตนเชื่อว่าทุกคนมีความเชื่อมั่นในนโยบายของพรรคเพื่อไทย และช่วยให้ไปถึงจุดมุ่งหมายที่เราต้องการที่จะไป ก็ยินดีต้อนรับด้วย