วันนี้ (10 มกราคม) เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานมอบโล่รางวัลแด่เยาวชนดีเด่น เนื่องในวันเด็กแห่งชาติประจำปี 2567 โดยเป็นเยาวชนที่มีความประพฤติดีและนำชื่อเสียงมาให้ประเทศ จำนวน 1,220 คน โดยมี พล.ต.อ. เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นผู้นำคณะเข้าเยี่ยมคารวะและรับโอวาท
โดยนายกรัฐมนตรีระบุตอนหนึ่งว่า วันนี้ได้มาพบปะกับเยาวชนที่น่ารักทุกคน รู้สึกปลาบปลื้มใจที่เด็กมีความรู้ความสามารถ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ และนำชื่อเสียงมายังประเทศชาติ ซึ่งรัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาเยาวชนของชาติ และให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเด็กและเยาวชน โดยสร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อให้มีความร่วมมือ ยกระดับคุณภาพการศึกษา คุณภาพชีวิต เพื่อให้เด็กและเยาวชนภูมิใจในชาติ ยึดมั่นในสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
สิ่งสำคัญคือเด็กและเยาวชนทุกคนต้องรู้จักการกตัญญูรู้คุณแก่บิดามารดา ผู้มีพระคุณ และประเทศชาติ มีความสามัคคี รักชาติ มีการประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในกรอบระเบียบวินัยที่ดี และอยู่ในกรอบของกฎหมาย รวมทั้งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถควบคู่กับคุณธรรม ตลอดจนความร่วมมือช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติ สอดรับกับคำขวัญวันเด็กในปีนี้ มองโลกกว้าง คิดสร้างสรรค์ เคารพความแตกต่าง ร่วมกันสร้างประชาธิปไตย
ชื่นชมเด็กเก่ง ฝึกฝนจนเกิดทักษะ
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรียังกล่าวชื่นชมนักเรียนที่เข้ารับรางวัลว่า เป็นผลจากที่ทุกคนขยันหมั่นเพียร แสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพยายามฝึกฝนให้มีทักษะด้านต่างๆ จนเกิดความสำเร็จ สร้างผลประโยชน์แก่ตนเอง สังคม และประเทศชาติ ตนขอเป็นกำลังใจ และหวังว่าทุกคนจะพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ไม่ทิ้งการศึกษา ทำในสิ่งที่ตนเองได้ตั้งเป้าไว้ ก่อนจะร่วมถ่ายภาพกับนักเรียนอย่างเป็นกันเอง
เด็กทุกคนต้องได้เรียน
จากนั้นเศรษฐาได้โพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “เด็ก ซึ่งเป็นอนาคตของชาติทุกคน ต้องได้เรียนครับ”
เศรษฐาระบุด้วยว่า “ผมขับเคลื่อนเรื่องลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาด้วยตัวเองมาตั้งแต่ก่อนเข้ามารับตำแหน่งนายกฯ หลายปีแล้วครับ เพราะผมปรารถนาที่จะเห็นเด็กไทยได้รับความเท่าเทียมในเรื่องนี้ โดยตั้งเป้าให้จำนวนเด็กที่ต้องหลุดระบบการศึกษาเป็น ‘ศูนย์’ ครับ
“ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง ผมได้สั่งการทันทีให้กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ดีอีเอส และกระทรวงมหาดไทย บูรณาการรวบรวมข้อมูลนักเรียนที่หลุดจากระบบการศึกษา ให้เป็นฐานข้อมูล Big Data ขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย เพื่อนำไปสู่การช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่ต้องออกจากการศึกษากลางคัน ซึ่งในวันเสาร์ที่ 13 มกราคมนี้จะมีข่าวดี ที่จะเป็นก้าวสำคัญก้าวหนึ่งที่ประเทศไทยก้าวไปสู่ Thailand Zero Dropout ครับ”