วันนี้นอร์ธลอนดอนจะเป็นหนึ่งเดียวกันใช่ไหม?
เกมพรีเมียร์ลีกค่ำคืนนี้ถูกจับตามองอย่างยิ่ง เมื่อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า จะต้องยกทัพไปเยือนท็อตแนม ฮอตสเปอร์ที่ลอนดอน โดยที่หากพลาดท่าเสียทีสะดุดขึ้นมานั่นหมายถึงโมเมนตัมในการคว้าแชมป์จะเปลี่ยนไปอยู่ในมือของอาร์เซนอลทันที
แต่นั่นก็เลยกลายเป็นประเด็นคำถามขึ้นมาว่าแล้วสเปอร์สซึ่งเหลือความหวังแค่เลือนรางที่จะไปแชมเปียนส์ลีก จะพร้อมสู้เพื่อเพื่อนร่วมเมืองที่ไม่เคยญาติดีกันหรือไม่?
อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สเปอร์สตกอยู่ในสถานการณ์สุดกระอักกระอ่วนแบบนี้
เมื่อ 25 ปีที่แล้วพวกเขาเคยตกที่นั่งลำบากทางใจมาแล้วครั้งหนึ่งเหมือนกัน…
ย้อนกลับไปในปี 1999 สถานการณ์การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกนั้น Down to the Wire หรือต้องวัดกันจนนัดสุดท้าย ระหว่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องการทวงแชมป์กลับคืนมา กับอาร์เซนอล ใต้การนำของ อาร์แซน เวนเกอร์ ที่หวังจะป้องกันแชมป์เป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน
โดยที่สถานการณ์ในตอนนั้นต้องบอกว่าอาร์เซนอลเจองานที่ยากกว่า เพราะนอกจากที่จะต้องเอาชนะแอสตัน วิลลาในไฮบิวรีให้ได้ก่อนเป็นอย่างแรกแล้ว พวกเขาต้องหวังว่าแมนฯ ยูไนเต็ดจะพลาดท่าในเกมสุดท้ายด้วย
ความสนุกคือคู่แข่งในวันสุดท้ายของปีศาจแดงก็คือสเปอร์ส คู่ปรับร่วมเมืองที่ไม่เคยมีคำว่าไมตรีให้แก่กัน
แต่เพื่อผลประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ แฟนอาร์เซนอลบางส่วนไม่ลังเลใจที่จะฝากความหวังเอาไว้กับเพื่อนบ้าน ด้วยการขึ้นป้ายผ้าให้กำลังใจกันแบบไม่เต็มใจ
“C’mon you Tottenham scum”
สู้เขานะไอ้กากท็อตแนม
ป้ายเชียร์ สเปอร์ส จากใจของแฟน อาร์เซนอล
ในรายละเอียดลงลึกไปอีกนิด ผู้จัดการทีมสเปอร์สในเวลานั้นคือ จอร์จ เกรแฮม อดีตผู้จัดการทีมในตำนาน ผู้พาอาร์เซนอลคว้าแชมป์ลีกมาแล้ว (ก่อนจะกระเด็นจากตำแหน่งด้วยคดีทุจริตอันอื้อฉาว) ซึ่งเมื่อถูกถามถึงเรื่องนี้บิ๊กจอร์จก็อดหยิกกลับแบบแรงๆ ไม่ได้
“กำลังคิดว่าจะส่ง โฮเซ โดมิงเกซ (ปีกส่วนสูง 5 ฟุต 3 นิ้ว) เป็นประตูตัวสำรองเลย”
ก่อนที่จะตอบแบบจริงจังว่า “ไม่มีใครอยากชนะในเกมการแข่งเท่ากับผมหรอก ผมเกลียดการแพ้แม้กระทั่งเกมกระชับมิตร พวกเราจะพยายามเพื่อชนะ ไม่ว่ามันจะมีความหมายอย่างไรกับใครก็ตาม”
ผู้ช่วยของเกรแฮมอย่าง สจวร์ต ฮุสตัน ซึ่งก็เคยเป็นอดีตผู้จัดการทีมอาร์เซนอลอีกคน ยังเล่าด้วยว่าเขาได้รับสายจาก มาร์ติน คีโอว์น ปราการหลังกันเนอร์สที่โทรมาถามด้วยความเป็นห่วงแบบแปลกๆ
“จะตั้งใจเล่นกันจริงๆ ใช่ไหม” คีโอว์นสงสัย ซึ่งฮุสตันก็ตอบกลับไปว่าทุกคนมีความภาคภูมิใจแบบนักกีฬาอาชีพอยู่ แต่ไม่คิดว่าปราการหลังจอมแกร่งอย่างเขาจะเป็นคนถามอะไรไม่เข้าท่าแบบนี้
เมื่อถึงวันแข่งขันจริง สเปอร์สเดินทางไปโอลด์แทรฟฟอร์ดด้วยฟอร์มไม่สู้ดีนัก ไม่ชนะใครมา 4 นัดติดต่อกัน แต่ส่วนสำคัญก็มาจากการที่พวกเขาได้สิทธิ์ไปเล่นรายการสโมสรยุโรปแล้วหลังคว้าแชมป์เวิร์ทธิงตันคัพ (ลีกคัพหรือคาราบาวคัพในปัจจุบัน) ซึ่งก็เป็นการชนะแมนฯ ยูไนเต็ดที่เวมบลีย์นี่แหละ (ทำให้ทีมของ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน อดสร้างตำนานคว้า 4 แชมป์ในฤดูกาลเดียว)
แต่ไม่รู้เป็นเพราะกำลังใจที่ส่งมาจากแฟนอาร์เซนอลที่อยู่ที่ไฮบิวรีที่ชูป้ายผ้าให้กำลังใจเพื่อนบ้าน “Come on you Spurs!” ก็เลยทำให้สเปอร์สเริ่มต้นได้ดีทีเดียว
นาทีที่ 24 ของการแข่งขัน สเตฟเฟน ไอเวอร์เซน สะกิดบอลต่อให้ เลส เฟอร์ดินานด์ กองหน้าเบอร์หนึ่งของทีมหลุดเข้าไปก่อนที่จะงัดข้ามหัว ปีเตอร์ ชไมเคิล ให้สเปอร์สขึ้นนำ 1-0
กองหน้าดีกรีทีมชาติอังกฤษวิ่งฉลองประตูด้วยสัญชาตญาณ เพราะสำหรับเขานี่คือ ‘งาน’ ในการยิงประตู และตลอดทั้งปีมีแต่ปัญหาอาการบาดเจ็บ การกลับมาทำประตูได้อีกครั้งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี โดยที่มีไอเวอร์เซนและโดมิงเกซวิ่งมาสวมกอดด้วย
แต่ในวินาทีหลังจากนั้นความรู้สึกบางอย่างก็เตะเข้ากลางใจของเฟอร์ดินานด์ ผู้ซึ่งเป็นแฟนสเปอร์สมาตั้งแต่เด็กๆ
“ฉิบหาย! นี่เราทำอะไรลงไปเนี่ย” ถึงขั้นคิดว่านี่อาจจะเป็นอะไรที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของเขาเลย
เวลานั้นโอลด์แทรฟฟอร์ดเงียบเหมือนป่าช้า มีเพียงเสียงเฮบางๆ ของแฟนสเปอร์สที่ไม่ได้ดีใจอะไรกับประตู เพราะมันเป็นประตูที่พวกเขาก็ไม่ได้ต้องการ ไม่มีใครอยากฉลองประตูนี้!
เฟอร์ดินานด์ยังจำได้ว่าก่อนจะถึงเกมนี้มีแฟนสเปอร์สบางคนที่เจอเขาถึงกับบอกเลยว่า “จะแพ้ก็ได้นะไม่เป็นไรเกมนี้”
อย่างไรก็ดี สำหรับนักฟุตบอลอาชีพแล้วไม่มีใครที่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามก็คงต้องเล่นอย่างเต็มที่เอาไว้ก่อน เพราะแฟนๆ เสียเงินจำนวนมากเพื่อเข้ามาเชียร์ทีมในสนามแล้ว
สิ่งเดียวที่เฟอร์ดินานด์และแฟนสเปอร์สทำได้มีเพียงการแอบหวังไว้ลึกๆ ในใจ “ขอให้แมนฯ ยูไนเต็ดยิงเข้าเองทีเถอะ”
เดวิด เบ็คแฮม ซัดตีเสมอให้แมนฯ ยูไนเต็ดกลับมา และทำให้สเปอร์สโล่งใจ
แต่เรื่องนี้ไม่ต้องห่วง เพราะแมนฯ ยูไนเต็ดเวลานั้นคือทีมที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง พวกเขาไล่ตามตีเสมอได้ก่อนหมดครึ่งแรกจากการปั่นโค้งๆ ของ เดวิด เบ็คแฮม ก่อนที่ แอนดี้ โคล ตัวสำรองซึ่งเคยเป็นอดีตเด็กฝึกหัดของอาร์เซนอล จะได้บอลจาก แกรี เนวิลล์ ก่อนจะงัดข้ามหัว เอียน วอล์คเกอร์ เข้าไป
ปีศาจแดงพลิกแซงเป็น 2-1 และที่สถานการณ์นี้พวกเขาคือแชมป์
ปรากฏว่านอกจากเสียงกองเชียร์เจ้าบ้านที่ดังกระหึ่มแล้ว ยังได้ยินเสียงแฟนบอลสเปอร์สร่วมดีใจผสมโรงกันไปด้วย “พวกแกดูอยู่หรือเปล่าอาร์เซนอล!”
ระหว่างนั้นแฟนบอลที่โอลด์แทรฟฟอร์ดกับไฮบิวรี ต่างก็ต้องดูบอลไปเอาหูแนบวิทยุไปด้วยตลอดเวลาเพื่อรอฟังข่าวว่าอีกสนามมีสกอร์ไหม ซึ่งอาร์เซนอลกว่าจะได้ประตูขึ้นนำวิลลาต้องรอถึงนาทีที่ 66 จาก เอ็นวานโก คานู
ตั้งแต่นาทีนั้นเป็นต้นไปแฟนกันเนอร์สได้แต่สวดมนต์ในใจ “เพื่อนบ้านช่วยทีเถอะ ลูกเดียวก็ได้”
แต่ก็ไม่มีการตอบสนองใดๆ จากเสียงเพรียกเหล่านั้น
กันเนอร์สในไฮบิวรีนั่งลุ้นว่าเพื่อนบ้านอย่างสเปอร์สจะช่วยพวกเขาสักครั้งได้ไหม
เกมที่ไฮบิวรีจบลงพร้อมกับความหม่นเศร้า คีโอว์นเก็บเอาบอลมาก่อนหวดขึ้นฟ้าไปแบบคนผิดหวังแต่ก็ไม่รู้จะทำฉันใด ก่อนที่โฆษกสนามจะทยอยประกาศผลการแข่งขันพรีเมียร์ลีก (ยุคนั้นคนอังกฤษยังเรียกกันว่าพรีเมียร์ชิป) ทีละคู่ๆ
ยกเว้นผลคู่ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดที่ไม่มีการประกาศออกมา
เกมที่นั่นจบไปแล้วเช่นกัน แมนฯ ยูไนเต็ดชนะ พวกเขาได้แชมป์พรีเมียร์ลีกกลับมาอีกครั้ง ส่วนสเปอร์สก็โล่งใจ ต่อให้ทีมแพ้แต่นั่นเป็นวันที่ดีที่สุดของพวกเขาในรอบปี
อ้างอิง:
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: