ชื่อของ Lukas Dhont อาจไม่เป็นที่คุ้นหูของนักดูภาพยนตร์ชาวไทยนัก เพราะนับตั้งแต่ที่ผู้กำกับหนุ่มชาวเบลเยียมตบเท้าเข้ามาทำภาพยนตร์ขนาดยาว เขามีผลงานออกมาสู่สายตาของผู้ชมเพียง 2 เรื่องเท่านั้น อันได้แก่ Girl (2018) และล่าสุด Close (2022)
แม้เนื้อหาของแต่ละเรื่องจะถูกบอกเล่าในลักษณะที่แตกต่างกัน แง่หนึ่งที่เหมือนกันคือ มันถ่ายทอดให้เห็นถึงความแหลกสลายของตัวละครที่ต้องต่อสู้กับบรรทัดฐานเรื่องเพศสภาพในสังคม หรืออีกนัยหนึ่ง พวกเขาต้องคอยประคับประคองร่างกายและจิตใจจากสภาวะที่ตัวเองถูกตัดสินคุณค่าโดยคนรอบตัว
อย่างไรก็ตาม ส่วนสำคัญที่ดูเหมือนจะมองข้ามไม่ได้ คือการที่มันกระตุ้นเร้า หรือเรียกร้องให้คนดูเฝ้ามองตัวละครเหล่านั้นด้วยสายตาตรวจสอบ และทบทวนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อซึมซับ ชำแหละ ไปจนถึงขั้นเฝ้ามองความเจ็บปวดจากสิ่งที่พวกเขาจะต้องเผชิญ
Girl (2018)
ในกรณีของ Girl คนดูมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหญิงแปลงเพศอย่าง Lara (Victor Polster) ไม่ได้ประสบพบเจอกับเรื่องราวที่ดีนัก หญิงสาวต้องต่อสู้กับคำครหาในเพศสภาพของตัวเองจากคนรอบข้างในรั้วโรงเรียนบัลเลต์ที่เชื่อว่าเพศมีเพียงแค่ชายและหญิงเท่านั้น จนสุดท้ายมันก็นำมาสู่บทสรุปอันอื้อฉาวที่ชวนตั้งคำถามว่า เส้นแบ่งระหว่างเพศอยู่ตรงไหน ในเมื่อมนุษย์นอกเหนือจากเพศชายและหญิงไม่มีสิทธิที่จะ ‘เลือก’ เพศของตัวเอง
แต่ในครั้งนี้ Close ที่เป็นภาพยนตร์ลำดับที่ 2 ของเขา ดูจะไม่ใช้วิธีการนำเสนอเรื่องราวรุนแรง (ถึงขั้นถูกตั้งคำถามถึงจริยธรรมของผู้กำกับในช่วงที่ภาพยนตร์ออกฉาย) เหมือนกับ Girl แต่เน้นหนักไปที่ความสัมพันธ์ของเด็กน้อยที่ค่อยๆ พังทลายลงจนถึงขั้นแหลกสลายเพราะคำพูดคนรอบข้างแทน
เรื่องราวของภาพยนตร์ว่าด้วยความสัมพันธ์อันแนบแน่นระหว่างเด็กชายทั้งสองอย่าง Léo (Eden Dambrine) และ Rémi (Gustav De Waele) ที่มักจะชอบใช้เวลาร่วมกันออกไปเล่นกลางทุ่งดอกไม้ ไปโรงเรียน หรือกระทั่งนอนร่วมเตียงเดียวกัน
จนวันหนึ่งเด็กชายทั้งสองก็ถูกกลุ่มเพื่อนผู้หญิงภายในห้องยิงคำถามที่เปรียบดั่ง ‘ระเบิด’ ว่า ‘พวกเขาเป็นแฟนกันใช่หรือไม่?’ ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มเด็กผู้ชายยังทำท่าทางละลาบละล้วง พร้อมกับใช้ถ้อยคำล้อเลียนความสัมพันธ์ระหว่าง Léo และ Rémi กันอย่างสนุกปาก
สิ่งเหล่านั้นเองที่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างคนทั้งสองจนแทบจะไม่เหลือเค้าเดิม Léo ผู้ซึ่งหวั่นไหวกับการถูกตัดสินจากคนรอบข้าง เริ่มแสดงออกกับ Rémi ด้วยท่าทีที่ห่างเหินจนถึงขั้นเรียกได้ว่าอับอายในความรู้สึกที่เคยมีให้กับเขา อีกฝ่ายที่เป็นคนอารมณ์อ่อนไหวอยู่แล้วจึงเกิดความไม่เข้าใจในสิ่งที่ตัวเองเจอ จนมันนำมาสู่จุดจบอันน่าเศร้า และความเสียใจที่หนุ่มน้อยไม่อาจลืมเลือน
ข้อน่าสังเกตอย่างแรกคือ ทั้ง Close และ Girl ต่างก็ใช้เซ็ตติ้งของสังคมในลักษณะเดียวกัน นั่นก็คือ ‘โรงเรียน’ ที่มองแล้วก็อาจเปรียบเหมือนกับรั้วที่คอยกักขัง และตีตราพวกเขาจากอิสรภาพทางเพศด้วยกฎเกณฑ์ ภาพจำ สังคม หรือกระทั่งกฎหมาย แต่อีกนัยหนึ่งมันก็อาจเป็นช่วงเวลาที่เราจะพบเจอกับคำครหาเหล่านี้มากที่สุดในชีวิตด้วยเช่นกัน และการที่ Dhont ‘เลือก’ จะเล่าเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่องนี้ด้วยตัวละครที่อยู่ในวัยละอ่อน ไร้เดียงสา ก็อาจย้ำชัดว่าการถูกตัดสินโดยใครบางคนสามารถทำลายคนคนหนึ่งได้ทั้งชีวิต
ถึงกระนั้น สิ่งสำคัญอีกอย่างของ Close ก็อาจเป็นการที่ภาพยนตร์ดูเหมือนจะไม่ได้มีพล็อตเรื่องที่ตายตัว หากแต่เป็นการสำรวจความรู้สึกและพัฒนาการที่เกิดขึ้นกับตัวละครอย่างลึกซึ้ง ซึ่งมันเปิดโอกาสให้คนดูได้ซึมซับ พร้อมกับดำดิ่งไปในช่วงเวลาที่ส่งผลต่อตัวละครอย่างใหญ่หลวงโดยไม่ต้องสื่อสารออกมาตรงๆ
ฉากหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความหลักแหลมในการกำกับของ Dhont ได้แก่ตอนที่เด็กชายทั้งสองเริ่มเกิดความกระอักกระอ่วนระหว่างกัน จนการนอนหลับภายในห้องที่ ‘ควรจะ’ ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติสุขกลายเป็นการกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอย่างจริงจัง ซึ่งห้วงเวลาที่หยุดนิ่งหลังจากสถานการณ์นั้นเอง ก็กลายเป็นสิ่งตอกย้ำว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาคงไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป
หรือแม้กระทั่งฉากสั้นๆ อย่างตอนที่ Léo พยายามจะประคับประคองตัวเองจากความรู้สึกต่างๆ ที่ถาโถมเข้ามาใส่เขาอย่างไม่หยุดยั้งในขณะที่ซ้อมสกีจนแทบจะลุกไม่ไหว ซึ่งคนดูก็สามารถสัมผัสได้อย่างไม่ยากเย็นว่าจิตใจที่แหลกสลายของหนุ่มน้อย มันมากเกินกว่าที่เด็กวัยกำลังเปราะบางสมควรจะต้องเผชิญ
ทั้งหมดนี้อาจกล่าวได้ว่า การที่ Dhont เลือกจะใช้ฉากหรือสถานที่เดิมซ้ำกันหลายครั้ง เป็นเหมือนกับการเปรียบเทียบให้เห็นถึงพัฒนาการอารมณ์ของตัวละคร และความหมายของการกระทำภายในสถานที่ด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป แม้จะเป็นสถานที่เดิม แต่ความรู้สึกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
นอกเหนือจากวิธีการเล่าเรื่องและการกำกับอันสุดแสนประณีตแล้ว ส่วนสำคัญที่ทำให้อารมณ์เหล่านั้นเป็นธรรมชาติที่สุดคือ ตัวของสองนักแสดงหลักอย่าง Eden Dambrine ผู้รับบท Léo และ Gustav De Waele ผู้รับบท Rémi โดยขณะที่กำลังถ่ายทำอยู่ Dhont ได้ให้คนทั้งสองเข้ามาพักอาศัยร่วมกับเขา และพยายามเปิดภาพยนตร์ที่หลากหลายให้พวกเขาดู อีกทั้งยังไม่บังคับให้นักแสดงต้องท่องจำบท ซึ่งทั้งหมดนี้ก็นำมาสู่ความสมจริงที่คนดูสามารถมองเห็นได้บนจอภาพยนตร์ และคนที่ต้องกล่าวชื่นชมมากที่สุดก็คงไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากตัวของ Dhont เอง
สุดท้ายหากว่า Close เป็นภาพยนตร์อิมเพรสชันนิสม์ มันก็ได้ทำหน้าที่ของมันอย่างสมบูรณ์ นั่นก็คือการทิ้งความรู้สึกบางอย่างเอาไว้ในหัวใจของผู้ชมอย่างไม่รู้ลืม
Close เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
สามารถรับชมตัวอย่างได้ที่