S&P Global Ratings ห่วง ‘วงจรการเมืองสั้น’ ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายประเทศ พร้อมเจาะสาเหตุการคง Credit Rating ไทยที่ BBB+ และคงมุมมอง (Outlook) ที่ ‘มีเสถียรภาพ’ (Stable) เปิดคำเตือน! รายได้ต่อหัวที่ต่ำ (per-capita income) ความไม่แน่นอนทางเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยที่ลดทอนความแข็งแกร่งลง
เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน S&P Global Ratings บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชั้นนำระดับโลก ประกาศ คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ของประเทศไทยไว้ที่ระดับ ‘BBB+’ และคงสกุลเงินต่างประเทศ (Foreign currency rating) ระยะสั้นไว้ที่ ‘A-2’ ตลอดจนคงเรตติ้งสกุลเงินท้องถิ่น (Local currency rating) ระยะยาวที่ ‘A-’ ระยะสั้นที่ ‘A-2’ แนวโน้มอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาว ‘มีเสถียรภาพ’ (Stable) ส่วนการประเมินความสามารถในการโอนและการแปลงสภาพยังคงอยู่ที่ระดับ ‘A’
S&P ยังกล่าวต่อว่า แนวโน้มอันดับเครดิตระยะยาวของประเทศไทยที่มีเสถียรภาพ สะท้อนถึงมุมมองของ S&P Global ว่าประเทศไทยจะรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจด้วยแนวโน้มใกล้เคียงกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกันในช่วง 12-24 เดือนข้างหน้าได้ โดยได้รับการสนับสนุนในระดับปานกลางจากโครงการการคลังของรัฐบาล
เปิดเหตุผล S&P คงอันดับเรตติ้งและมุมมอง
สำหรับสาเหตุท่ี S&P คงอันดับเรตติ้งและมุมมองครั้งนี้ ได้แก่ งบดุลต่างประเทศที่แข็งแกร่ง หนี้สาธารณะสุทธิในระดับปานกลาง และประวัติการดำเนินงานด้านนโยบายการเงินและการคลังที่มั่นคงของประเทศไทย เป็นปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิตของประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม รายได้ต่อหัว (per capita income) ความไม่แน่นอนทางเสถียรภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยลดทอนความแข็งแกร่งเหล่านี้ลง
เปิดฉากทัศน์ ‘เชิงลบ’
อย่างไรก็ตาม S&P Global อาจปรับลดอันดับเครดิต หากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอ่อนแอกว่าที่ S&P Global คาดการณ์ไว้ในปัจจุบัน ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดดันต่อกระบวนการกำหนดนโยบายในปัจจุบัน และเพิ่มความเป็นไปได้ที่ (1) เศรษฐกิจไทยจะเติบโตช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านที่มีระดับรายได้ใกล้เคียงกันอย่างมีนัยสำคัญ (2) การเติบโตของรายได้ต่อหัว (per capita income) ที่อาจหยุดนิ่ง หรือ (3) สภาพการคลังอาจอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเวลาผ่านไป
เปิดฉากทัศน์ ‘เชิงบวก’
ในทางกลับกัน S&P Global อาจปรับเพิ่มอันดับเครดิต หากประเทศไทยมีเสถียรภาพทางการเมืองที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และหาก S&P Global ประเมินว่า แรงจูงใจ (incentive) ในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างกะทันหันได้ลดลง
ย้อนกลับไปในปีที่ผ่านมา Moody’s Ratings ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือ (Outlook) ของประเทศไทยจาก ‘มีเสถียรภาพ (Stable)’ เป็น ‘ลบ (Negative)’ แต่ยังคงอันดับเครดิตไว้ที่ Baa1 เมื่อเดือนเมษายน ตามมาด้วย Fitch Ratings ที่ปรับลดมุมมอง (Outlook) ความน่าเชื่อถือไทยเป็น ‘เชิงลบ’ (Negative) แต่คงอันดับเครดิตเรตติ้งไว้ที่ BBB+ เมื่อเดือนกันยายน สะท้อนว่า การคงมุมมองของ S&P Global สวนทางกลับสถาบันจัดอันดับเครดิตแห่งอื่น
ห่วง ‘วงจรการเมืองสั้น’ มีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบาย
S&P Global ยังเตือนว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยกำลังเผชิญกับอุปสรรคจากความไม่แน่นอนของนโยบายทั้งภายในและภายนอกประเทศ การเลือกตั้งสมาชิกรัฐสภาที่กำหนดไว้ในปี 2569 อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดเสถียรภาพทางการเมืองและความสามารถในการคาดการณ์นโยบาย
กระนั้น การสนับสนุนทางการคลังที่แข็งแกร่งขึ้นอาจช่วยป้องกันภาวะชะลอตัวที่รุนแรงขึ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า
นอกจากนี้ เสถียรภาพของรัฐบาล และผลการดำเนินงานทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจโลกที่คาดว่าจะชะลอตัวลงจะเป็นประเด็นสำคัญที่ต้อง ‘จับตา’ มองในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า
“ความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งอาจส่งผลต่อความสามารถในการคาดการณ์นโยบายของประเทศไทย เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีระดับการพัฒนาใกล้เคียงกัน”
โดยในความเห็นของ S&P Global นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2549 มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อยครั้ง และบางครั้งก็เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน แม้ว่าภาคธุรกิจจะยังคงลงทุนในไทยต่อไป และการกำหนดนโยบายต่างๆ ไม่ได้แย่ลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่การเติบโตทางเศรษฐกิจยังคงต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคหลายแห่งในช่วง 15 ที่ผ่านมา
S&P Global กล่าวต่อว่า รัฐบาลผสมที่จัดตั้งขึ้นหลังการเลือกตั้งสมาชิกสภานิติบัญญัติปี 2566 ได้ล่มสลายลงในเดือนกันยายน 2568 ส่งผลให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยมีแนวโน้มที่จะอยู่ในอำนาจได้เพียงครึ่งแรกของปี 2569 แม้รัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถผ่านงบประมาณประจำปีงบประมาณ 2569 ได้ทันเวลา ทำให้มั่นใจได้ว่านโยบายการคลังจะยังคงสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อไป ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจท่ามกลางปัจจัยลบต่างๆ
อย่างไรก็ตาม S&P Global คาดการณ์ว่าการเติบโตของ GDP ที่แท้จริงจะชะลอตัวลงเหลือ 2.3% ในปี 2568 จากการขยายตัว 2.5% ในปี 2567 สภาพแวดล้อมการค้าต่างประเทศที่ยังไม่แน่นอน ผลกระทบจากฐานการลงทุนภาครัฐที่สูงขึ้น และความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจภายในประเทศที่อยู่ในระดับปานกลาง เป็นปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตในอีก 12 เดือนข้างหน้า
ภาคการท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศไทยกำลังเผชิญกับอุปสรรคจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา และศักยภาพในการฟื้นตัวในปี 2569 อาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2568 อยู่ที่ประมาณ 24.1 ล้านคน ลดลงประมาณ 7.6%
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 รัฐบาลได้ออกมาตรการใหม่ๆ มากมายเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคการท่องเที่ยว รวมถึงโครงการด้านความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นและสิทธิประโยชน์เฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ข้อมูลรายเดือนล่าสุดชี้ให้เห็นว่าอัตราการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังลดลง
S&P Global คาดการณ์ว่า GDP ที่แท้จริงของประเทศไทยจะเติบโตเฉลี่ย 2.3% ในปี 2568-2571 ความเสี่ยงต่อแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศมีระดับสูงขึ้นเนื่องจากนโยบายการค้าระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป
S&P Global คาดว่า GDP ต่อหัวจะเพิ่มขึ้นเป็นเกือบ 9,000 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2568 เทียบกับต่ำกว่า 8,000 ดอลลาร์สหรัฐเล็กน้อยในปี 2567 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ จากการคาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของ S&P Global
มองรัฐบาลมีแนวโน้มที่จะปรับ ‘สมดุลทางการคลัง’ ได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
S&P Global กล่าวต่อว่า การสะสมหนี้สุทธิอาจเฉลี่ยอยู่ที่ 3.1% ของ GDP ในช่วงปี 2568-2571 ซึ่งสะท้อนถึงท่าทีทางการคลังที่สนับสนุนมากขึ้นของรัฐบาลในปี 2568-2569 โดยมุ่งหวังที่จะเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจท่ามกลางสถานการณ์ภายนอก
รัฐบาลยังคงดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเจาะจงเพื่อช่วยเหลือครัวเรือนและธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในปัจจุบัน การขาดดุลงบประมาณของรัฐบาลกลางมีมากกว่าที่เคยเป็นมาในปีก่อนๆ
บัญชีเดินสะพัดน่าจะยังคงเกินดุล 2%-3% ของ GDP ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่อุปสรรคทางการค้าอาจบั่นทอนโมเมนตัมการเติบโตทางเศรษฐกิจ
รัฐบาลไทยได้ปรับเพิ่มการขาดดุลการคลังเพื่อแสวงหานโยบายที่สนับสนุนเศรษฐกิจมากขึ้น ตัวเลขดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากการขาดดุลในระดับปานกลางในช่วงสองปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองและความล่าช้าของงบประมาณในปี 2566-2567
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 สหรัฐอเมริกาได้กำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าส่งออกของไทยไว้ที่ 19% การคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันตั้งสมมติฐานว่าอัตราภาษีนำเข้ายังคงอยู่ในระดับปัจจุบัน แม้ว่าผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของการเจรจาทวิภาคีและการพัฒนานโยบายของสหรัฐฯ จะยังคงไม่แน่นอน
รัฐบาลไทยกำลังจัดสรรงบประมาณจากงบประมาณปี 2568 และ 2569 ให้แก่โครงการสนับสนุนเฉพาะกลุ่มสำหรับผู้ส่งออก ธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าและการค้าโลกที่ชะลอตัว และครัวเรือน ซึ่งรวมถึงโครงการเงินอุดหนุนและโครงการร่วมจ่ายมูลค่า 6 หมื่นล้านบาทของไทยสำหรับครัวเรือนในหมวดหมู่รายได้และการรายงานภาษีที่หลากหลาย
S&P Global คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงของหนี้สาธารณะสุทธิของรัฐบาลกลางจะสูงกว่า 3% ของ GDP โดยเฉลี่ยเล็กน้อยในปี 2568 และ 2569 โดยส่วนหนึ่งของสัดส่วนหนี้สาธารณะจะมาจากเงินทุนสำหรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งรวมอยู่ในกรอบงบประมาณปัจจุบันของรัฐบาล
รัฐบาลไทยยังคงให้ความสำคัญกับโครงการลงทุนไว้ในแผนปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ แผนเหล่านี้รวมถึงโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งภายใต้แผนแม่บท อัตราการดำเนินการลงทุนของรัฐบาลปรับตัวดีขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากการเติบโตที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากของการลงทุนภาครัฐตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2567
การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทยยังดำเนินการโดยรัฐวิสาหกิจและในรูปแบบความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ดังนั้น ภาระเงินทุนทั้งหมดจึงไม่ได้ตกอยู่ที่รัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว การลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านเหล่านี้จะช่วยฟื้นฟูขีดความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทย ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการเติบโตด้านผลิตภาพที่อ่อนแอ
อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.8% ในเดือนตุลาคม 2568 และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ 0.6% S&P Global คาดว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 1.50% อย่างน้อยไปจนถึงปี 2569 เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อโดยทั่วไปยังคงอยู่ในระดับต่ำ
อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศที่ต่ำทำให้ภาระดอกเบี้ยของรัฐบาลไทยอยู่ในระดับปานกลาง โดยต้นทุนดอกเบี้ยของตราสารหนี้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6% ของรายได้รัฐบาล
S&P Global คาดการณ์ว่าบัญชีเดินสะพัดของไทยจะยังคงเกินดุลในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 2.5% ของ GDP ตั้งแต่ปี 2568-2571
นโยบายการค้าต่างประเทศที่ผันผวนและผลกระทบลำดับที่สองซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนของการค้าโลก ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนที่สูงขึ้นต่อเศรษฐกิจของไทย อย่างไรก็ตาม งบดุลและสภาพคล่องภายนอกที่แข็งแกร่งของประเทศจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยต่อไป S&P Global คาดว่าค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยตั้งแต่ปี 2568 เป็นต้นไป หลังจากผ่านช่วงความผันผวนท่ามกลางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วและค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่า
ตัวชี้วัดสภาพคล่องภายนอกประเทศน่าจะยังคงมีเสถียรภาพในอีกสองถึงสามปีข้างหน้า S&P Global มองว่าความต้องการเงินทุนภายนอกโดยรวมของไทยจะอยู่ที่ประมาณ 74% ของรายรับจากบัญชีเดินสะพัด บวกกับเงินสำรองที่ใช้ได้ในช่วงปี 2568-2571 โดยเฉลี่ย หากพิจารณาจากหนี้ต่างประเทศสุทธิที่แคบ S&P Global คาดการณ์ว่าสัดส่วนสินทรัพย์สุทธิจะอยู่ที่ประมาณ 27% ของการชำระเงินจากบัญชีเดินสะพัด
S&P Global มองว่าผลงานของธนาคารแห่งประเทศไทยในการกำหนดนโยบายการเงินและการรักษาเสถียรภาพด้านราคา ถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่สนับสนุนโครงสร้างเครดิตของประเทศไทย อัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันอย่างมาก อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจยังคงอยู่ต่ำกว่า 1% ในช่วงปี 2568-2571
ธนาคารกลางได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยเหลือภาคการเงินและเศรษฐกิจในช่วงการระบาดใหญ่ รวมถึงการผ่อนปรนกฎระเบียบ ในอนาคต S&P Global คาดว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงและมาตรการบรรเทาทุกข์ที่ประกาศโดยหน่วยงานกำกับดูแลจะช่วยสนับสนุนความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้และช่วยคลี่คลายความไม่สมดุลในภาคธนาคารอย่างเป็นระเบียบ สัดส่วนของสินเชื่อระยะที่สองในประเทศไทยยังคงอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 6.9% S&P Global คาดว่าสินเชื่อ 15%-20% ของสินเชื่อเหล่านี้อาจต้องได้รับการสนับสนุนเพิ่มเติม อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพของสินทรัพย์เหล่านี้ด้วย
ธปท. ใช้วงเงินสินเชื่อล่วงหน้าเพื่อบริหารสภาพคล่อง เนื่องจากนี่เป็นสินทรัพย์สกุลเงินต่างประเทศของธนาคารกลาง S&P Global จึงสะท้อนถึงสถานะดังกล่าวผ่านการปรับฐานะเงินสำรองที่ใช้ได้ของธนาคารกลางในเชิงบวก ทุนสำรองเงินตราต่างประเทศของไทยเพิ่มขึ้นในปี 2568 อันเนื่องมาจากพลวัตของดุลการชำระเงินที่เอื้ออำนวย ซึ่งยิ่งช่วยเสริมฐานะเงินเกินดุลภายนอกที่แข็งแกร่งอยู่แล้วของประเทศ
ปัจจุบันการเติบโตของสินเชื่อในประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำ และขนาดสินทรัพย์รวมของภาคธนาคารเทียบกับ GDP มีเสถียรภาพตั้งแต่ปี 2557 หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงที่ประมาณ 87% ของ GDP ในความเห็นของ S&P Global ธปท. จะยังคงทยอยนำมาตรการเพิ่มเติมมาใช้เพื่อจัดการความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง S&P Global มองว่ารัฐบาลมีภาระผูกพันจากภาคธนาคารที่จำกัด
‘เอกนิติ’ ชี้ S&P Global เชื่อมั่นต่อรัฐบาล (ภูมิใจ) ไทย
ด้าน ดร. เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพด้านการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง หนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ และระบบธนาคารพาณิชย์มีฐานะมั่นคง รวมถึงรัฐบาลได้มีการวางกรอบแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium – Term Fiscal Framework: MTFF) ผ่าน 3 แนวทางหลัก คือ
1) การกำหนดแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สินให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
2) การปรับปรุงและเพิ่มกฎเกณฑ์การคลัง รวมถึงการยกระดับความโปร่งใสเกี่ยวกับต้นทุนการคลังต่างๆ และรายได้สูญเสียจากสิทธิประโยชน์ภาษีต่าง ๆ เพื่อทำให้สามารถบังคับวินัยการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) การวางแนวทางกำกับการดำเนินมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง เพื่อเพิ่มความชัดเจนของการจัดการภาระการคลัง
โดยกรอบแผนการคลังนี้มีเป้าหมายคือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือและสาธารณชนมั่นใจ รวมถึงเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวเพื่อความยั่งยืนสืบไป
“จากผลการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการดำเนินงานบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย ‘Quick Big Win’ ที่ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดภาระประชาชน การส่งเสริม SMEs การเพิ่มการออมให้ประชาชน และการลงทุนเพื่ออนาคต โดยมีมาตรการและโครงการที่ได้ทยอยออกมาแล้ว อาทิ คนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน การเร่งการเบิกจ่ายโครงการลงทุนของภาครัฐ ปิดหนี้ไวไปต่อได้ เป็นต้น โดยทั้ง 5 เสาหลัก นี้ มีฐานรากที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ” ดร. เอกนิติ กล่าว
อ้างอิง:


