วันนี้ (26 พฤษภาคม) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่ามาร้องเรียนวันนี้มี 2 ประเด็นหลัก
ประเด็นที่ 1 กรณี ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า มีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กแสดงความคิดเห็น โดยให้พรรคก้าวไกลจะต้องยึดมั่นในตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรต้องเป็นของพรรคก้าวไกล ซึ่งประเด็นประธานสภาผู้แทนราษฎรจะอยู่กับพรรคใดพรรคหนึ่งนั้นเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยที่จะเลือกกันเอง
สนธิญากล่าวว่า คนตั้งข้อสังเกตว่าประธานสภาตามรัฐธรรมนูญ 2560 หมายถึง ประธานรัฐสภาด้วย นั่นหมายความว่า ประธานสภาก็เป็นประธานวุฒิสภาด้วย มีหน้าที่ในการควบคุมการทำงานของประธานวุฒิสภา ซึ่งเหลืออายุอยู่ประมาณปีกว่าๆ
ดังนั้น พฤติกรรมของปิยบุตร ซึ่งเป็นผู้ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ถูกแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยหาเสียงในการเลือกตั้งที่ผ่านมา รวมถึงการโพสต์ข้อความในลักษณะชี้นำ ทำให้เห็นอนุมานได้ว่าพรรคก้าวไกลโดยที่ผู้บริหารหรือใครก็ตามไม่ได้ออกมาปฏิเสธ อีกทั้งยังพูดไปในทิศทางเดียวกัน จึงเป็นเรื่องที่อนุมานได้ว่าเข้าข่ายพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 28 มาตรา 29 และไปสู่การถูกยุบพรรคได้ตามมาตรา 92 (3)
ตนจึงขอให้ กกต. วินิจฉัย และตีความการกระทำของปิยบุตร เพื่อเป็นการชี้นำ ครอบงำพรรคก้าวไกลหรือไม่อย่างไร ส่วนพิจารณาแล้วจะส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ กกต. จะพิจารณา
สนธิญากล่าวต่อไปว่า ประเด็นที่ 2 คือกรณี อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร เดินทางไปเยี่ยม ทักษิณ ชินวัตร และ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ประเทศสิงคโปร์ ตนมองว่าการไปเยี่ยมบิดาหรือผู้มีพระคุณนั้นสามารถทำได้ แต่ขณะนี้แพทองธารได้รับการแต่งตั้งจากพรรคเพื่อไทยเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี
ดังนั้น พฤติกรรมของว่าที่นายกฯ อยู่ภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน และตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 45 และผูกพันไปถึงมาตรา 92 (3 ) จึงขอให้ กกต. พิจารณาว่าพฤติกรรมดังกล่าวของแพทองธารนั้นขัดต่อกฎหมายนี้หรือไม่ เมื่อวินิจฉัยแล้วอาจจะส่งคำร้องของตนเข้าไปสู่ศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อโปรดพิจารณาวินิจฉัยเพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติของว่าที่แคนดิเดตนายกฯ หรือว่าที่นายกฯ ต่อไปในอนาคตด้วย
“ผมยังมั่นใจว่าพรรคก้าวไกล โดย พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่สามารถที่จะทะลุผ่านเข้าไปสู่กระบวนการโหวตเป็นนายกฯ ได้ แล้วแคนดิเดตของพรรคเพื่อไทย คนที่ 1 ก็คือแพทองธาร ซึ่งมีหลายคนที่ออกมาวิเคราะห์กรณีแพทองธารเดินทางไปเยี่ยมพ่อในช่วงเวลาสถานการณ์อย่างนี้ ซึ่งโดยจริยธรรม คุณธรรม และมารยาท หรือกฎหมาย ก็ไม่น่ากระทำการโดยเปิดเผย การไปเยี่ยมพ่อหรือผู้มีพระคุณนั้นไม่มีปัญหา แต่การไปเยี่ยมในช่วงมีตำแหน่งหรือเป็นแคนดิเดตนายกฯ นั้น อธิบายไม่ได้ในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน โดยเฉพาะทักษิณและยิ่งลักษณ์เป็นผู้ที่ถูกศาลไทยพิจารณาให้จำคุกไปแล้ว ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลจึงเป็นที่มาของการมาเพื่อร้อง กกต. โปรดพิจารณา วินิจฉัย การกระทำของแพทองธาร” สนธิญากล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงการถือหุ้นสื่อของพิธา สนธิญากล่าวว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้เขียนว่าต้องถือจำนวนเท่าไร แต่เขียนเพียงว่า ผู้ลงสมัคร ส.ส. ห้ามมีหุ้น จึงน่าเป็นห่วง และพิธาก็เพิ่งมาแจ้งต่อ ป.ป.ช. จึงอยากวิงวอนพิธาและพรรคก้าวไกล เพราะตั้งแต่ที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาด้วยเสียงข้างมาก ตลาดหุ้นไทยตก ผู้ถือหุ้นจากต่างประเทศก็ถอนหุ้นออกไปเกือบแสนล้านบาทด้วยความไม่ชัดเจน
“ผมเป็นกำลังใจให้พิธาและพรรคก้าวไกล แต่หลายเรื่องควรคลี่คลายให้ชัดเจน ก่อนที่พิธาจะรับตำแหน่งนายกฯ เพราะหากได้รับการโหวตเป็นนายกฯ แล้วศาลรัฐธรรมนูญรับวินิจฉัย พร้อมสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่จะไม่เป็นผลดีต่อพรรคก้าวไกลและประเทศ จึงต้องการให้ดำเนินการเรื่องนี้ให้จบเสียก่อน” สนธิญากล่าว