วานนี้ (12 มกราคม) สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกิจกรรมวิ่งไล่ลุงและเดินเชียร์ลุงเมื่อช่วงเช้าของวันที่ 12 มกราคม ว่าเป็นกิจกรรมที่ทุกฝ่ายสามารถดำเนินการได้ภายใต้กรอบกฎหมาย แต่ที่ไม่อยากเห็นคือ การนำกิจกรรมไปสู่การทำการเมืองบนถนน เราต้องทบทวนบทเรียนของประเทศไทย เราอยู่ในวังวนการใช้การเมืองนอกระบบ และนำปัญหามาให้ประเทศมาตลอดในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา วันนี้ประเทศก้าวมาสู่ประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายเรียกร้อง มีกลไกในการแก้ปัญหา มีสภาผู้แทนราษฎร มีการศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ดังนั้น อยากเห็นกิจกรรมที่อยู่ในกรอบกฎหมาย ไม่อยากเห็นกิจกรรมใดๆ นำไปสู่กลไกนอกสภาฯ นำไปสู่การแตกแยก เกลียดชังระหว่างประชาชน เชื่อว่า ประชาชนส่วนใหญ่อยากเห็นความสงบของประเทศ ความขัดแย้งไม่เกิดประโยชน์กับใครบนโลกใบนี้ จะทำให้การแก้ปัญหายากขึ้นกว่าเดิม
สนธิรัตน์กล่าวด้วยว่า เราเคารพการแสดงออกความคิดทางการเมือง แต่ขอให้จำกัดขอบเขต ไม่อย่างนั้นประเทศจะถอยหลังกลับไปสู่วังวนเดิม ประโยชน์นั้นจะกลับไปสู่คนบางกลุ่มเท่านั้น ไม่ได้เกิดกับคนทั้งประเทศ จึงไม่อยากเห็นประเทศไทยพลาดพลั้ง ก้าวไปสู่วิกฤตคล้ายกับฮ่องกง ซึ่งจะทำให้ประเทศฟื้นตัวได้ยากขึ้น และไม่ได้บอกว่า กิจกรรมเป็นสิ่งที่ผิด แต่ให้ทุกฝ่ายตระหนักและมองภาพใหญ่ของประเทศเป็นที่ตั้ง ใช้กลไกของรัฐธรรมนูญ อะไรไม่ดีก็ดำเนินแก้ไข แต่อย่าเอาประชาชนลงไปปะทะกันข้างล่าง
ส่วนกรณีที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ไปร่วมกิจกรรมวิ่งไล่ลุง พร้อมตะโกนไล่ “พล.อ. ประยุทธ์ ออกไป” นั้น สนธิรัตน์กล่าวว่า เวลาแสดงออกต่างๆ ขอให้อยู่ในกรอบกฎหมาย ไม่อย่างนั้นจะล้ำเส้นกัน เพราะประชาชนมี 2 ฝ่าย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ถ้าเราปล่อยให้ล้ำกรอบของกฎหมาย วันหนึ่งจะนำไปสู่การเผชิญหน้าของประชาชน 2 ฝ่าย เรามีกลไกในระบอบประชาธิปไตยเป็นทางออกอยู่แล้ว อะไรที่เกินกรอบกฎหมายพึงระวัง
สำหรับการดูแลการจัดกิจกรรมของทั้งสองฝ่ายในระยะยาว สนธิรัตน์กล่าวว่า ในนามรัฐบาล ไม่อยากเห็นการสร้างกิจกรรมลักษณะเผชิญหน้ากัน อยากเห็นการพูดคุยกัน อยากเห็นการใช้ระบบของสภาฯ ที่เราเคยเรียกร้องกัน ไม่อยากเห็นกิจกรรมอะไรก็ตามที่สร้างความแตกแยก
พิสูจน์อักษร: ภาวิกา ขันติศรีสกุล