Sonic the Hedgehog (2020) เรียกว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากวิดีโอเกมเพียงไม่กี่เรื่องที่ได้รับเสียงชื่นชมจากทั้งคอเกมและผู้ชมทั่วไปอย่างล้นหลาม เทียบได้จากคะแนนรีวิวของผู้ชมทั่วไปบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ที่ให้คะแนนไว้สูงถึง 93%
ซึ่งจุดเด่นข้อหนึ่งของภาพยนตร์เรื่องนี้ที่สามารถมัดใจผู้ชมได้อย่างอยู่หมัด เห็นจะเป็นฝีมือการกำกับของ Jeff Fowler ที่นำเสนอเรื่องราวของเจ้าเม่นสีฟ้าตัวนี้ออกมาได้อย่างกลมกล่อม ทั้งการออกแบบฉากแอ็กชันที่สนุกสนาน การหยิบกิมมิกจากวิดีโอเกมมาสอดแทรกในภาพยนตร์ให้คอเกมได้ตื่นเต้น ไปจนถึงเนื้อหาของเรื่องที่แม้จะเรียบง่ายไปบ้าง แต่ก็สร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้ดีเช่นกัน
มันจึงไม่แปลกนักที่แฟนๆ หลายคน (รวมถึงตัวผู้เขียน) ต่างก็ตั้งตารอการมาถึงของ Sonic the Hedgehog 2 ว่าเรื่องราวของ Sonic จะถูกต่อยอดออกมาในรูปแบบไหน ซึ่งหลังจากที่ตัวผู้เขียนได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้จบ เราคิดว่า Jeff Fowler ยังคงสร้างความสนุกสนานให้กับเราได้ดีไม่แพ้ภาคแรกทีเดียว
Sonic the Hedgehog 2 บอกเล่าเรื่องราวหลังจากที่ Sonic (Ben Schwartz) ตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ร่วมกับ Tom (James Marsden) ไปพร้อมกับการพยายามช่วยเหลือผู้คนเพื่อเป็นฮีโร่ แต่ดูเหมือนว่าบทบาทการเป็นฮีโร่ของ Sonic จะไม่ค่อยราบรื่นเท่าไรนัก
แต่แล้ววันหนึ่ง Dr.Robotnik (Jim Carrey) ที่เคยถูก Sonic จัดการจนกระเด็นกระดอนไปอยู่นอกโลก ก็เดินทางกลับมายังโลกอีกครั้งพร้อมแผนการร้ายครั้งใหม่ คือการตามหามรกตที่มีพลังในการทำลายอารยธรรม Sonic จึงต้องร่วมมือกับ Tails (Colleen O’Shaughnessey) เพื่อนซี้คนใหม่ในการหยุดยั้งแผนการร้ายของ Dr.Robotnik แต่ดูเหมือนว่าภารกิจครั้งนี้จะไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะเขาจะต้องเผชิญหน้ากับ Knuckles (Idris Elba) ผู้มีพลังหมัดอันทรงพลัง
จุดเด่นข้อแรกที่เราชื่นชอบมากๆ คือวิธีการนำเสนอของตัวผู้กำกับและทีมสร้างที่ปรุงแต่งเรื่องราวของ Sonic the Hedgehog 2 ออกมาได้อย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะการตัดสินใจลดบทบาทของตัวละคร Tom ที่เป็นคู่หูของ Sonic ในภาคแรกลง เพื่อแบ่งเวลามาเล่าเรื่องราวของ 2 ตัวละครใหม่อย่าง Tails และ Knuckles ให้มากขึ้น
ซึ่งทีมสร้างก็สามารถออกแบบคาแรกเตอร์ของ Tails และ Knuckles มาได้อย่างมีเสน่ห์ ทั้ง Knuckles นักรบแห่งเผ่าอีคิดนาผู้ยึดมั่นในเกียรติของนักรบและมีจิตใจที่ซื่อตรง และ Tails จิ้งจอกสองหางนักประดิษฐ์ที่ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไรนัก
ส่วนตัวละครที่เราไม่กล่าวถึงไม่ได้คือตัวร้ายหลักอย่าง Dr.Robotnik ที่รับบทโดย Jim Carrey ก็ยังเป็นตัวละครที่สร้างสีสันให้กับภาพยนตร์ได้เป็นอย่างดีเช่นเดิม ทั้งการแสดงกิริยาท่าทางและการพูดจาที่ยียวนกวนประสาท ซึ่งเราเชื่อมั่นว่า Dr.Robotnik จะเป็นอีกหนึ่งบทบาทการแสดงของ Jim Carrey ที่จะอยู่ในความทรงจำของผู้ชมไม่แพ้ผลงานอื่นๆ อย่างแน่นอน
อีกหนึ่งจุดเด่นของเรื่องที่นำเสนอออกมาได้ดีไม่แพ้ภาคแรก คือการหยอดมุกตลกจากภาพยนตร์ชื่อดังหลายๆ เรื่องมาสร้างเสียงหัวเราะให้กับเราได้อย่างตรงจังหวะ รวมถึงยังหยิบกิมมิกจากเกมต้นฉบับมาใช้ในฉบับภาพยนตร์ได้อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบเสื้อผ้าหน้าผมและอุปกรณ์ต่างๆ ของ Dr.Robotnik ให้มีความใกล้เคียงกับตัวเกมต้นฉบับมากขึ้นจากภาคแรก หรือจะเป็นฉากแอ็กชันหลายๆ ฉากที่ชวนให้เราคิดถึงตัวเกมภาคเก่าๆ (โดยเฉพาะฉากแอ็กชันในช่วงสุดท้ายของเรื่องที่เราอยากให้แฟนๆ Sonic มาชมด้วยตาของตัวเอง)
ในส่วนของเนื้อเรื่อง เราคงปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่ามันก็ดูจะเรียบง่ายไปเสียหน่อย ไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไรให้ผู้ชมต้องคาดเดามากนัก แต่อย่างที่เรากล่าวไว้ในตอนต้นว่า ด้วยองค์ประกอบหลายๆ ส่วนของเรื่องที่ถูกนำเสนอออกมาได้อย่างสร้างสรรค์ ไล่ตั้งแต่การออกแบบคาแรกเตอร์ที่มีเสน่ห์ ฉากแอ็กชันที่สนุกสนาน และมุกตลกขบขันที่สร้างเสียงหัวเราะให้เราได้ไม่ยาก ทั้งหมดนี้จึงเข้ามาช่วยเสริมให้ความเรียบง่ายของเนื้อเรื่องมีสีสันมากขึ้นพอสมควร
ในภาพรวมแล้ว Sonic the Hedgehog 2 ถือเป็นการกลับมาสานต่อเรื่องราวของเจ้าเม่นสีฟ้าที่สมการรอคอยทีเดียว โดยเฉพาะการปรากฏตัวของ 2 ตัวละครใหม่อย่าง Tails และ Knuckles ที่ทำให้เราตกหลุมรักพวกเขาได้ไม่ยาก และถึงแม้ว่าเนื้อหาของเรื่องอาจจะดูเรียบง่ายไปบ้าง แต่ผู้กำกับและทีมสร้างก็ยังคงปรุงแต่งรสชาติของภาพยนตร์แอ็กชันผจญภัยที่เราคุ้นเคยออกมาได้อย่างมีสีสันและสนุกสนานไม่แพ้ภาคแรกทีเดียว
Sonic the Hedgehog 2 เข้าฉายอย่างเป็นทางการแล้ววันนี้ ในโรงภาพยนตร์
รับชมตัวอย่างได้ที่นี่
ภาพ: UIP Thailand
อ้างอิง: