วันนี้ (25 กันยายน) สมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค สว. แถลงผลการประชุมของลับคณะกรรมาธิการฯ กว่า 3 ชั่วโมง ในการเชิญหน่วยงานดูแลนักโทษของกรมราชทัณฑ์มาชี้แจงในกรณี ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมประกอบด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ นำโดยรองผู้บัญชาการสำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ, โรงพยาบาลตำรวจ โดยรองนายแพทย์ใหญ่โรงพยาบาลตำรวจ, กรมราชทัณฑ์ โดยรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และคณะผู้บริหารของกรมราชทัณฑ์เข้าชี้แจง
สมชายกล่าวว่า ทั้งกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ ได้ชี้แจงดีตามสมควรจากหน่วยงาน แต่มีประเด็นที่ค้างอยู่ที่ 2 หน่วยงานจะไปเรียนผู้บังคับบัญชาและมาชี้แจงเพิ่มครั้งต่อไปเกี่ยวกับอาการและการรักษา โดยการประชุมในวันนี้ได้คำตอบหลายประเด็น เช่น ทักษิณได้เข้ารับการตรวจรักษา โดยเป็นนักโทษแดน 7 และส่งตัวไปโรงพยาบาลตำรวจ
สมชายกล่าวอีกว่า ได้รับคำยืนยันว่า ตั้งแต่วันที่ 22 สิงหาคมถึงปัจจุบันยังอยู่ในความดูแลของกรมราชทัณฑ์ โดยมีเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์เข้าเวรผลัดและตำรวจควบคุมอยู่ อาการป่วยต่างๆ มี 4 โรค มีผลรับรองทางการแพทย์จากสิงคโปร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ แต่กรรมาธิการยังไม่ได้รับข้อมูลการเข้ารับผ่าตัดหลายโรค เนื่องด้วย พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารฯ และเป็นสิทธิของผู้ป่วยที่จะใช้สิทธิรักษา และดุลพินิจของแพทย์ผู้รักษา แต่กรรมาธิการฯ เห็นว่า เมื่อสังคมสงสัยจึงมีข้อเสนอแนะว่าหากแพทย์ใหญ่และตำรวจอธิบายได้ เชื่อว่าสังคมจะรับได้
ส่วนเมื่อทักษิณได้รับการผ่าตัดจนมีอาการเป็นที่น่าพอใจ ตามกระบวนการสามารถส่งตัวกลับโรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้หรือไม่ สมชายกล่าวว่า ได้รับคำยืนยันว่าโรงพยาบาลกรมราชทัณฑ์สามารถรับผู้ป่วยต่อ และหายป่วยกลับไปอยู่ในเรือนจำได้ตามขั้นตอนปกติ แต่ต้องดูอาการของทักษิณว่าอยู่ในระดับไหนในการรักษา หวังว่าจะได้รับคำชี้แจงในอนาคตอันใกล้
สมชายกล่าวอีกว่า จากคำชี้แจงของหน่วยงาน กรณีทักษิณได้รับพระราชทานอภัยโทษลดโทษ 1 ปีแล้ว จะได้รับพระราชทานอภัยโทษอีกหรือไม่นั้น มีหลักเกณฑ์ของกรมราชทัณฑ์ ซึ่งมีเกณฑ์ว่าจะต้องอยู่ในเรือนจำไม่น้อยกว่า 4 เดือน และมีการปรับระดับนักโทษจากชั้นกลางเป็นชั้นดีเยี่ยมแล้ว เพื่อเข้าสู่กระบวนการรับพระราชทานอภัยโทษในวาระโอกาสสำคัญ เช่น วันที่ 5 ธันวาคมนี้ ซึ่งทักษิณไม่ได้อยู่ในเกณฑ์ดังกล่าว หากนับ 120 วัน ก็จะตกครบรอบวันที่ 20 ธันวาคม ซึ่งผ่านพ้นวันสำคัญ 5 ธันวาคมไปแล้ว