เมืองหลวงประเทศโซมาเลียเผชิญหน้าเหตุก่อการร้ายครั้งรุนแรง หลังรถบรรทุกขนระเบิดจำนวนมากก่อเหตุในจัตุรัสกลางเมือง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 267 ราย และผู้บาดเจ็บอย่างน้อย 300 คน
รถบรรทุกที่ใช้ในการก่อเหตุบรรจุด้วยระเบิดทำมือและชนิดสำหรับปฏิบัติการทางทหารรวมหลายร้อยกิโลกรัม โดยแหล่งข่าวรัฐบาลโซมาเลียเปิดเผยว่า รถถูกสั่งให้จอดเพื่อตรวจค้นที่ด่านใกล้เคียงแล้ว แต่คนขับเร่งเครื่องอย่างกะทันหัน พุ่งชนแผงกั้นจนเกิดการระเบิดขึ้น ซ้ำยังลามไปถึงรถบรรทุกน้ำมันที่จอดอยู่ข้างๆ ทำให้เกิดการระเบิดอย่างรุนแรง
นายกรัฐมนตรีฮัสซัน อาลี ไคเร (Hassan Ali Khaire) ระบุว่า “พวกมันเล็งโจมตีย่านที่มีคนเยอะที่สุดในโมกาดิชู เพื่อฆ่าพลเรือนเท่านั้น”
ตัวเลขผู้เสียชีวิตที่ระบุไว้เป็นไปตามข้อมูลของรัฐมนตรีกระทรวงข้อมูล อับดีราห์มัน ออสมัน (Abdirahman Osman) อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ภาคสนามคาดการณ์ว่า จะมียอดเพิ่มขึ้นอย่างน้อยๆ เป็น 500 ราย เนื่องจากการค้นหาผู้รอดชีวิตตามซากอาคารต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไป
หน่วยกู้ภัยต่างต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างต่อเนื่องนานหลายชั่วโมง รายล้อมไปด้วยประชาชนที่ออกมาตามหาญาติที่หายไป โดยเจ้าหน้าที่กล่าวว่า การระบุตัวเลขแน่ชัดเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากเปลวเพลิงอาจทำร้ายร่างผู้เสียชีวิตหลายราย
ซาอีนับ ชารีฟ (Zainab Sharif) คุณแม่ลูก 4 ผู้สูญเสียสามีจากเหตุการณ์เผยความรู้สึกว่า เธอสูญเสียทุกอย่างหลังนั่งรอที่โรงพยาบาลหลายชั่วโมง แต่กลับต้องได้ยินข่าวร้าย
ขณะเดียวกัน นายแพทย์ โมฮัมเหม็ด ยูซุฟ (Mohammed Yusuf) ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมดินาในกรุงโมกาดิชูกล่าวว่า “เจ้าหน้าที่ต้องพบผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตจำนวนมหาศาล… มันเป็นเรื่องน่ากลัวเหลือเกิน ไม่เหมือนครั้งอื่นๆ ที่เคยผ่านมา”
เหตุการณ์อัน ‘น่ารังเกียจ’ และ ‘สะอิดสะเอียน’
โมฮัมเหม็ด อับดุลลาฮี ฟาร์มาโจ (Mohammed Abdullahi Farmajo) ประธานาธิบดีโซมาเลียประกาศไว้อาลัยผู้เสียชีวิต 3 วัน และเรียกเหตุการณ์นี้ว่า ‘ชั่วร้ายน่ารังเกียจ’
ภายในแถลงการณ์ประกาศให้ลดธงลงครึ่งเสา ยังระบุด้วยว่า “ถึงเวลาที่เราจะต้องสามัคคีกันและภาวนา การก่อการร้ายจะไม่ชนะ” พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนออกมาบริจาคเลือดและช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ
พลเรือนโซมาเลียหลายพันคนได้ออกมาต่อแถวเตรียมบริจาคเลือด ท่ามกลางอีกหลายร้อยชีวิตที่ออกมาเดินประท้วงเหตุการณ์รุนแรงครั้งนี้
ด้าน อันโตนิโอ กูเตอร์เรส (Antonio Guterres) เลขาธิการสหประชาชาติ ทวีตแสดงความรู้สึกว่า ‘สะอิดสะเอียน’ จากการโจมตีครั้งนี้และเตือนให้ประชาชน “มีความสามัคคีในการเผชิญหน้าการก่อการร้ายและกลุ่มสุดโต่ง”
มุ่งปมอัล-ชาบับ
ยังไม่มีกลุ่มใดออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุก่อการร้ายที่ชาวกรุงโมกาดิชูที่ถือว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเห็นในรอบหลายปี
อย่างไรก็ตาม ความสนใจพุ่งเป้าไปที่กองกำลังอัล-ชาบับ กลุ่มก่อการร้ายในโซมาเลียที่มีความเชื่อมโยงกองกำลังอัลกออิดะฮ์ตั้งแต่ปี 2011 โดยอัล-ชาบับมักจะไม่ออกมาอ้างความรับผิดชอบด้วยเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ที่ชาวโซมาเลียทั่วไปมอง
ในปีนี้ กองกำลังดังกล่าวประกาศคำมั่นว่าจะเพิ่มการโจมตีหลังรัฐบาลอเมริกันและโซมาเลียประกาศจะเพิ่มกำลังโต้ตอบ
เหตุโจมตีมีขึ้นภายหลังเวลา 48 ชั่วโมง ที่รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารสูงสูงลาออกจากตำแหน่งโดยไม่ได้ให้เหตุผลใดๆ
ทั้งนี้ ตามรายงานของสหประชาชาติ ประเทศโซมาเลียเองก็กำลังเผชิญหน้าต่อปัญหาสภาวะอดอยากอาหารอย่างรุนแรงที่อาจกระทบต่อชีวิตประชาชน 3.1 ล้านคน เนื่องมาจากความรุนแรงและอาหารขาดแคลน
Photo: Mohamed ABDIWAHAB/AFP
อ้างอิง: