วันนี้ (31 พฤษภาคม) สหัสวัต คุ้มคง สส. ชลบุรี พรรคประชาชน อภิปรายงบของกระทรวงแรงงานว่า ปี 2569 กระทรวงแรงงานได้รับการจัดสรรวงเงินงบประมาณทั้งสิ้นจำนวน 6.80 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นงบประมาณของสำนักงานประกันสังคมไปแล้ว 6.16 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 90% ของงบประมาณทั้งกระทรวง โดยงบประมาณในส่วนนี้ดูเหมือนจะเยอะ เพราะมาจากส่วนที่เรียกว่างบอุดหนุน ซึ่งถูกบังคับโดยพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคมที่ต้องเก็บเงินสมทบจากสามฝ่าย คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐ เรียกว่าเป็นเงินสมทบที่รัฐต้องจ่ายอยู่แล้ว และแม้งบประมาณจำนวนนี้ดูเหมือนจะมาก แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะจ่ายสิทธิประโยชน์ให้ผู้ประกันตนในอนาคต
ทั้งนี้ มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนออกมาบอกว่ากองทุนจะเจ๊งใน 20-30 ปี การที่กองทุนประกันสังคมจะเจ๊ง ซึ่งหมายความว่าในอนาคต คนที่อายุประมาณ 30 ปี และตอนนี้ทำงานส่งประกันสังคมไปจะไม่ได้สิทธิรักษาพยาบาลจากประกันสังคม และเมื่อเกษียณไปจะไม่ได้บำนาญจากประกันสังคม หรือแม้กระทั่งเด็กที่เพิ่งเกิด หากเขาโตไปและมีลูกก็จะไม่มีเงินอุดหนุน รวมถึงหากในอนาคตถ้าใครตกงานก็จะไม่ได้รับเงินว่างงาน แปลง่ายๆ คือเบาะรองทางสังคมจะล่มสลาย เรากำลังอยู่ในวิกฤตที่อีก 30 ปี ประชาชนคนไทยจะเจ็บป่วยไม่ได้ จะตกงานไม่ได้ จะหยุดทำงานไม่ได้ เพราะหยุดเมื่อไหร่ เราจะล้มทันทีแบบไม่มีโอกาสลุก
สหัสวัตกล่าวต่อไปว่า จนถึงวันนี้ รัฐบาลยังเหลือเงินค้างจ่ายประกันสังคมอยู่ประมาณ 5.6 หมื่นล้านบาท สิ่งสำคัญไม่ใช่ว่าวันนี้รัฐยังเป็นหนี้เหลืออยู่เท่าไร แต่ทุกปีที่รัฐเบี้ยวหนี้นั่นคือการขโมยเงินในอนาคตของผู้ประกันตน เสียโอกาสที่จะไปลงทุนเพื่อให้ออกดอกออกผล แล้วกลับมาเป็นสิทธิประโยชน์ของประชาชน
“อยากให้ท่านลองคิดเล่นๆ ดูหากเราตั้งต้นจากเงิน 1 แสนล้านบาท โดยมาลงทุนให้ได้กำไรสัก 3% ต่อปี หรือหากจะเริ่มนับแค่จากปี 2559 ก็ได้ จากวันนั้นที่ค้างจ่ายจนถึงวันนี้ สำนักงานประกันสังคมจะมีเงินเพิ่มขึ้นอีกกว่า 3 หมื่นล้านบาท ยิ่งหากเราลงทุนทบๆ ไปเรื่อยๆ ปีหนึ่งขยายอายุได้สัก 15 วัน เพิ่มเป็น 20-30 วันไปเรื่อยๆ ก็จะช่วยยืดอายุกองทุนนี้ไม่ให้เจ๊งได้ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องการลงทุน ประเด็นต่อมาคือ ความไม่เป็นธรรมต่อผู้ประกันตนและผู้ประกอบการ เพราะผู้ประกอบการทุกท่านทราบดีว่าหากบริษัทของตัวเองจ่ายเงินสมทบช้าก็จะโดนปรับค่าล่าช้าคิดเป็น 2% ต่อเดือน ย้ำว่าต่อเดือนไม่ใช่ต่อปี คิดทุกเดือน ทบเข้าไปเรื่อยๆ ทั้งที่รัฐบาลซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการนำจ่าย และสามารถคาดการณ์ได้อยู่แล้วว่าแต่ละปีจะต้องจ่ายประมาณเท่าไหร่บ้าง แต่กลับค้างจ่ายเงินตรงนี้มาหลายปีแล้ว และรัฐบาลไม่เคยต้องจ่ายดอกเบี้ยหรือค่าปรับแม้แต่บาทเดียว” สหัสวัตกล่าว
สหัสวัตชี้ว่า หากรัฐบาลค้างจ่ายประกันสังคม ตั้งต้นที่ 1 แสนล้านบาท เอาแค่ 9 ปี ก็พอ และหากคิดค่าปรับใส่เข้าไปในตรงนี้ ค่าปรับทั้งหมดที่รัฐบาลจะต้องจ่ายคือไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท ถ้ารัฐบาลจ่ายค่าปรับแบบที่ผู้ประกอบการต้องจ่าย ตอนนี้กองทุนจะสามารถยืดอายุไปได้อีกอย่างน้อย 2 ปี แต่ถ้าคิดเงินทุกเม็ดว่ารัฐต้องจ่ายทั้งค่าปรับและค่าเสียโอกาสที่จะลงทุนทบต้นกัน เงินที่รัฐควรต้องจ่ายให้กับประกันสังคมตอนนี้น่าจะไม่ต่ำกว่า 1 ล้านล้านบาท แค่คืนก้อนนี้มาก็จะสามารถยืดอายุของกองทุนไปได้อีก 4 ปี ทันที
“ผมเข้าใจว่าสิ่งที่ผมพูดและเสนอนั้นยากที่จะทำได้ แต่อย่างน้อยหากรัฐบาลมีความจริงใจ อยากให้กองทุนนี้ยืดอายุได้ยาวขึ้น ก็ต้องทำแผนการใช้หนี้ออกมาอย่างจริงจังได้แล้ว หยุดเอาเปรียบลูกจ้างและนายจ้าง ผมหวังว่าจะได้เห็นแผนใช้หนี้นี้ในงบปีหน้า” สหัสวัตกล่าว
สหัสวัตกล่าวต่ออีกว่า หลักการแรกเริ่มของสำนักงานประกันสังคมคือ 3 ฝ่ายร่วมกันสมทบ คือผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายคนละ 5% แต่รัฐจ่ายเพียง 2.75% เท่านั้น จ่ายน้อยที่สุด เอาเปรียบตั้งแต่ต้นแล้วไม่พอ ยังมาค้างจ่าย แบบไม่ต้องมีค่าปรับ ดอกเบี้ยอะไรเลย ประเด็นต่อมาคือ เรื่องความโปร่งใสของกองทุน เพราะความไม่โปร่งใสย่อมส่งผลต่อความไม่มีประสิทธิภาพ และสะท้อนออกมาผ่านผลตอบแทนการลงทุนของกองทุนประกันสังคม
สหัสวัตย้ำว่า ก่อนท่านจะให้ผู้ประกันตนแบกเพิ่ม ท่านต้องเริ่มจากการกู้คืนความเชื่อมั่นทำให้การบริหารกองทุนนี้โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ก่อน แค่เปิดข้อมูล ตนไม่เข้าใจว่ายากอะไร หรือกลัวคนรู้ว่าที่มันจะเจ๊งเป็นเพราะมีคนหากินอยู่ในกองทุนนี้ นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการใช้งบประมาณของสำนักงานประกันสังคม ซึ่งสามารถใช้เงินบริหารที่เป็นเงินนอกงบประมาณจากเงินสมทบผู้ประกันตน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินทำปฏิทินปีละ 50 กว่าล้านบาท ที่ผู้ประกันตนส่วนใหญ่ไม่มีใครเคยได้ และไม่รู้จะแจกไปทำไม
สหัสวัตยังกล่าวถึงประเด็นการซื้อรถหรูของประกันสังคม ซึ่งไม่ได้มีความจำเป็น คือการเอาเงิน 3-4 ล้านบาทของผู้ประกันตน มีการเขียนโครงการด้วยคำสวยหรูว่า รถสนับสนุนภารกิจกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม แต่ที่จริงคือเอารถไปใช้ประจำตำแหน่ง รวมถึงยังมีการแต่งเบาะนวดไฟฟ้าอย่างดีเพื่อความสะดวกสบายของคนนั่ง อีกทั้งยังมีการเปลี่ยนรถกันแบบนี้ทุก 2 ปี
“สุดยอด ใช้เงินผู้ประกันตนเหมือนเงินตัวเอง แถมสุดท้ายรถปลดประจำการยังมีการนำไปบริจาคให้วัด เงินโอนให้ใครก็ไม่รู้ เจ้าอาวาสยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ามีรถเข้าวัด บริหารกันแบบนี้ ไม่เจ๊งก็แปลก” สหัสวัตระบุ
สหัสวัตมองว่า มีแผนขยายสิทธิรักษาต่างๆ ทั้งโรคหัวใจ ไตวาย มะเร็ง สถานพยาบาล การพัฒนาระบบให้ไม่ต้องสำรองจ่าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ดีมาก แต่พอท่านใช้เงินกันแบบนี้แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาทำ ถ้าตัดการใช้เงินสุรุ่ยสุร่ายของพวกท่านออกไป เราจะขยายสิทธิเหล่านี้ไปได้ถึงไหนต่อไหนบ้าง ดังนั้น เราต้องปฏิรูปการใช้เงินของสำนักงานประกันสังคม ตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็น นำไปใช้กับสิ่งที่จำเป็น เช่น จ้างมืออาชีพเข้ามาดูแลเรื่องการลงทุน จ้างนักคณิตศาสตร์ประกันภัยเพิ่มเพื่อมาช่วยดูแลสิทธิประโยชน์ จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ประกันตนมากกว่า
สหัสวัตกล่าวด้วยว่า เรื่องสุดท้ายและเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดที่จะดึงความเชื่อมั่นของประกันสังคมกลับคืนมาคือการปฏิรูปโครงสร้างของประกันสังคมทั้งหมด ซึ่งเป็นเรื่องของความไม่แฟร์ที่ภาครัฐซึ่งส่งเงินน้อยสุด ช้าสุด ค้างจ่ายไม่จ่ายค่าปรับ ไม่เสียดอก แต่ที่แย่กว่านั้นคือรัฐกลับมีอำนาจมากที่สุด และผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจ อำนาจบริหารในระดับผู้อำนวยการกองต่างๆ ไล่จนถึงเลขาประกันสังคม ไปจนถึงปลัดกระทรวงที่เป็นประธานบอร์ดตามตำแหน่ง เป็นข้าราชการ
“ถ้าพูดกันจริงๆ ข้าราชการที่มีอำนาจตัดสินใจ มันก็แค่ข้าราชการจากส่วนกลาง ระดับบนๆ ไม่กี่สิบคน และข้าราชการเหล่านี้ก็ทำงานภายใต้รัฐมนตรีที่เป็นนักการเมืองอีกที นี่คือช่องโหว่ขนาดใหญ่ที่เปิดช่องให้นักการเมืองฉ้อฉล และข้าราชการน้ำเสีย รวมหัวกันคอร์รัปชัน สูบกินเงินของผู้ประกันตนไป” สหัสวัตระบุ
สหัสวัตเสนอว่า ต้องแก้ไขพ.ร.บ.ประกันสังคม ที่เป็นตัวกำหนดโครงสร้างอำนาจของประกันสังคม โดยยืนยันหลักการที่ว่า กองทุนประกันสังคมจำเป็นที่จะต้องยึดโยงกับนายจ้างและผู้ประกันตนให้มากที่สุด โดยผ่านการเลือกตั้ง ให้เจ้าของเงินส่วนใหญ่มีสิทธิ์มีเสียง คนนั่งบริหารต้องมาจาก 3 ฝ่ายอย่างแท้จริง ไม่ใช่ฝ่ายรัฐที่จ่ายน้อยที่สุด แต่มีอำนาจสูงสุดและต้องสร้างกลไกให้ตรวจสอบได้ตลอดเวลา เพื่อปิดโอกาส ปิดช่องไม่ให้มีพวกปรสิตมาโกงกิน สูบเงินพวกเราที่ทำงานอย่างหนัก แล้วส่งเงินเข้ากองทุนนี้ เพื่อหวังจะมีเบาะรองในชีวิต
สหัสวัตระบุว่า มีข้อเสนอสั้นๆ ง่ายๆ โอกาสสุดท้ายที่จะกู้วิกฤตประกันสังคมคือ 1. ใช้หนี้ 2. ทำให้โปร่งใส และ 3. ปฏิรูปโครงสร้าง นี่คือโอกาสสุดท้ายที่จะกู้วิกฤตประกันสังคม ท่านจะเลือกปล่อยเบาะรองสุดท้ายของคนทำงานนี้ให้เจ๊งไปกับมือ หรือจะเลือกรับข้อเสนอนี้ แล้วช่วยกันทำให้เบาะรองนี้ได้เป็นความหวังให้กับคนทำงานต่อไป