การซื้อ-ขายรองเท้าผ้าใบหายาก เกิดเป็นเทรนด์มาสักพักใหญ่ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทยด้วย ซึ่งในปัจจุบันเทรนด์การซื้อ-ขายรองเท้าผ้าใบหายากนี้เติบโตขึ้นมาก โดย สกอตต์ คัตเลอร์ ประธานกรรมการบริหารจาก StockX แพลตฟอร์มจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขายในสินค้าต่างๆ โดยเฉพาะรองเท้าผ้าใบมองว่า “เทรนด์นี้เป็นโอกาสในการลงทุนครั้งใหญ่”
เนื่องจากรองเท้าผ้าใบได้กลายเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ซื้อขายกันอย่างร้อนแรงทั่วโลก เทียบเท่าสินค้าโภคภัณฑ์อย่าง ทองคำ และเทียบกับสินค้าฟุ่มเฟือยอย่าง กระเป๋า Hermès ได้เลย และการเติบโตที่น่าเหลือเชื่อของตลาดซื้อ-ขายออนไลน์อย่าง StockX โดยในเดือนเมษายน 2021 ได้ออกมาประกาศว่า บริษัทมีมูลค่าถึง 3.8 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.2 แสนล้านบาทเลยทีเดียว
StockX ก่อตั้งขึ้นในปี 2016 ในเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน โดยกลุ่มผู้ชื่นชอบรองเท้าสนีกเกอร์ 3 คน ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นตลาดสำหรับรองเท้าผ้าใบหายากและของสะสมอื่นๆ เช่น ของเล่น เกมคอนโซล การ์ดซื้อขายสินค้า และเสื้อผ้าแนวสตรีท โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นอะไรก็ได้ที่คนรุ่นมิลเลนเนียลและเด็ก Gen-Z นิยมอยู่ในสมัยนี้
วิธีการซื้อ-ขายของ StockX นั้นแตกต่างจากตลาดออนไลน์อื่นๆ อย่าง Amazon และ Farfetch โดยโมเดลธุรกิจของบริษัทจะมีกลไกการซื้อ-ขายเหมือนกับหลักการของตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก ซึ่งเป็นบริษัทที่ สกอตต์ คัตเลอร์ ซีอีโอคนปัจจุบันเคยทำงานอยู่ ก่อนที่จะย้ายไปที่บริษัทขายตั๋ว Stubhub และย้ายไปอีกที่เว็บไซต์ประมูลอย่าง eBay และที่สุดท้ายก็คือ StockX แห่งนี้ในปี 2019
โดยกลไกซื้อ-ขายคือ StockX จะให้ผู้ซื้อตั้ง ‘ราคาเสนอ (Bids)’ ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงสุดที่พวกเขายินดีจ่าย และผู้ขายตั้ง ‘ราคาขาย (Asks)’ คือจำนวนเงินขั้นต่ำที่พวกเขายินดีขาย โดยการทำธุรกรรมจะเกิดขึ้นหากราคาเสนอสูงเท่ากับหรือมากกว่าราคาขาย และ StockX จะคิดค่าคอมมิชชันจากการขายในแต่ละครั้ง
สิ่งที่พบคือ มีการซื้อ-ขายกันตั้งแต่สินค้ายอดนิยมอย่างรองเท้าผ้าใบ Dior Jordan 1 ที่สามารถขายไปได้สูงถึง 10,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราวๆ 3 แสนบาท ไปจนถึงรองเท้าที่ราคาไม่แพงมาก ในหลักหลายร้อยดอลลาร์ ซึ่ง StockX ถือเป็นหนึ่งในตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจการซื้อ-ขายต่อของรองเท้าผ้าใบ ที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ในเดือนพฤษภาคม 2020 Sotheby’’s บริษัทเก่าแก่ด้านการประมูล ได้มีการประมูล Air Jordan 1s พร้อมลายเซ็นไปได้ในราคาถึง 560,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 18 ล้านบาท และก่อนหน้านั้นในเดือนสิงหาคม 2020 มีการขาย Nike Air Jordan 1s คู่หนึ่งที่เคยสวมใส่โดยนักบาสเกตบอล NBA ในตำนานอย่าง ไมเคิล จอร์แดน ในปี 1985 ถูกขายในแพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Christie’s ในราคาสูงลิ่วถึง 615,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือมากถึง 20 ล้านบาท
แม้ว่าตัวเลขเหล่านี้จะมาจากสินค้าหายากที่เกี่ยวข้องกับผู้เล่น NBA ในตำนานมากที่สุดตลอดกาลอย่าง ไมเคิล จอร์แดน แต่ก็สะท้อนถึงความเฟื่องฟูของตลาดการซื้อ-ขายต่อรองเท้าผ้าใบทั่วโลก ซึ่งตามการวิจัยของ Cowen Equity Research คาดว่าจะมีมูลค่าถึง 3 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบ 1 ล้านล้านบาทภายในปี 2030
“ผู้บริโภคกลุ่มใหญ่ของเราในปัจจุบันมองว่ารองเท้าผ้าใบและของสะสมต่างก็เป็นโอกาสในการลงทุน และเป็นสินทรัพย์ทางเลือก” คัตทเลอร์กล่าว “นี่เป็นการขับเคลื่อนอีกขั้นของการเติบโตของธุรกิจทั่วโลก เนื่องจากผู้บริโภคเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความต้องการในการลงทุนในสินทรัพย์แบบใหม่ อย่างสินค้าเหล่านี้ที่ซื้อขายกันใน StockX”
คัตเลอร์เป็นนักลงทุนรายแรกในบริษัท และเป็นที่ปรึกษาในการก่อตั้งบริษัท ได้เข้าร่วม StockX เพื่อช่วยขยายธุรกิจไปทั่วโลก รวมถึงขยายเข้าสู่สินค้าหมวดหมู่อื่นๆ นอกเหนือจากรองเท้าผ้าใบอีกด้วย
“สิ่งที่ผลักดันการเติบโตของเราอย่างแท้จริง คือการเติบโตของสิ่งที่เราเรียกว่า ‘ผู้บริโภคยุคต่อไป’ ทั่วโลก ในสินค้าที่เราได้เรียกว่ากลายเป็น ‘วัฒนธรรมในยุคปัจจุบัน’ และสินค้าเหล่านี้ไม่ใช่แค่รองเท้าผ้าใบแล้ว โดยครอบคลุมไปยังหมวดหมู่ต่างๆ เช่น เครื่องแต่งกาย ของสะสม และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์” คัตเลอร์กล่าว “เราเห็นการเติบโตอย่างแท้จริงของการซื้อ-ขายในสินค้าหมวดหมู่ต่างๆ และมีการเติบโตแบบนี้เช่นเดียวกันในทุกที่ทั่วโลก”
StockX ซื้อขายเฉพาะสินค้าใหม่เอี่ยมเท่านั้น ไม่ซื้อสินค้าคงคลังใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้นยังมีศูนย์รับรองความถูกต้อง โดยผู้เชี่ยวชาญจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าสินค้านั้นเป็นของแท้ก่อนจัดส่ง
ในปี 2020 บริษัทได้เปิดศูนย์รับรองความถูกต้องในฮ่องกงเพื่อรองรับผู้ซื้อและผู้ขายที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้ และในปีเดียวกันนั้น StockX รายงานการเติบโตของผู้ขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 1,000% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าในฮ่องกง ซึ่ง StockX ยังคงเป็นหนึ่งในตลาดที่มียอดขายสูงสุด ไม่เพียงแต่รองเท้าผ้าใบเท่านั้น แต่สำหรับของสะสมอย่าง ตุ๊กตา Kaws และ BE@RBRICK ด้วยเช่นกัน
แม้ว่า StockX จะเกี่ยวข้องกับการขายรองเท้าผ้าใบเป็นหลัก ซึ่งปกติแล้วลูกค้ารองเท้าผ้าใบส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย แต่หมวดหมู่ต่างๆ อย่าง กระเป๋าถือก็มีส่วนขับเคลื่อนการเติบโตอย่างมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับกระเป๋าอย่างแบรนด์ Telfar
“ต้องขอบคุณการผสมเข้าด้วยกันของรองเท้าผ้าใบกับแฟชั่น เสื้อผ้ากับสตรีทแวร์ การผสมกันเหล่านี้ทำให้เราได้เห็นการเติบโตอย่างมากในกลุ่มผู้ซื้อ-ขายที่เป็นผู้หญิง” คัตเลอร์กล่าว “ผู้ที่ลงขายครั้งแรกหลายแสนรายบนแพลตฟอร์มของเราในปีที่แล้วล้วนเป็นผู้หญิงทั้งนั้น การเติบโตของยอดขายของกลุ่มผู้หญิงเหล่านี้ เป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับเรา”
จากปัจจัยที่โลกแฟชั่นเปิดกว้างมากขึ้น ทำให้ StockX ได้ประโยชน์จากปัจจัยนี้เช่นเดียวกัน “คุณคงเคยเห็นการร่วมมือกันระหว่าง Louis Vuitton กับ Supreme หรืออีกคู่อย่าง Dior กับ Nike และคู่สุดท้ายอย่าง The North Face กับ Gucci แบรนด์หรูขนาดใหญ่กำลังไล่ตามผู้บริโภค ที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้บริโภครุ่นต่อไป โดยมีการคอลแลบและร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ต่างๆ มากมาย รวมถึงแบรนด์เหล่านี้กำลังใช้โมเดลธุรกิจที่แตกต่างกันไป เช่น การผลิตอย่างจำนวนจำกัด เพิ่มความเอ็กซ์คลูซีฟเพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภครุ่นใหม่” คัตเลอร์กล่าว สำหรับในส่วนของข่าวลือเรื่องการเข้า IPO ของบริษัท คัตเลอร์ไม่ขอแสดงความคิดเห็นใดๆ
อ้างอิง:
ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH
Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line คลิก https://lin.ee/xfPbXUP