วันนี้ (26 สิงหาคม) กระทรวงการคลัง ร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ประกาศมาตรการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจไทย เปิดตัวโครงการ ‘SMEs Credit Boost’ กลไกค้ำประกันสินเชื่อรูปแบบใหม่ หลังสินเชื่อ SMEs หดตัวต่อเนื่อง 13 ไตรมาส หวังดึงเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจกว่า 1 แสนล้านบาท ภายใน 1-2 ปี ให้วงเงินต่อรายสูงสุด 150 ล้านบาท
เปิดกลุ่มเป้าหมาย ใครเข้าร่วมได้บ้าง?
‘โครงการกลไกการค้ำประกันสินเชื่อ : SMEs Credit Boost’ ที่เป็นกลไกค้ำประกันความเสี่ยงสำหรับ ‘สินเชื่อใหม่’ ที่ธนาคารพาณิชย์ปล่อยให้ธุรกิจกลุ่มเป้าหมาย ครอบคลุม 2 กลุ่มหลัก ได้แก่
{{LISTSTART}}SMEs ในภาคธุรกิจภายใต้โครงการ Reinvent Thailand (เช่น การท่องเที่ยว การแพทย์และสุขภาพ เกษตรและเกษตรแปรรูป ยานยนต์และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ และการค้า รวมถึงธุรกิจที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) ของอุตสาหกรรมข้างต้น) และโลจิสติกส์{{LISTITEM}}SMEs และธุรกิจรายใหญ่ ที่มีแผนว่าจะนำสินเชื่อที่ได้รับ ไปใช้ยกระดับศักยภาพธุรกิจหรือพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน (เช่น ด้านดิจิทัลเทคโนโลยี การดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมแห่งโลกอนาคต) หรือเสริมสร้างมูลค่าเพิ่ม (value added) ต่อเศรษฐกิจไทย{{LISTEND}}
ทั้งนี้ หากเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ ต้องแสดงให้เห็นว่าสินเชื่อที่ได้รับจะนำไปช่วยสร้างประโยชน์หรือส่งเสริม SMEs ใน supply chain ด้วย
โดยโครงการนี้จะจำกัดวงเงินต่อรายไม่เกิน 100 ล้านบาทสำหรับ SMEs และ 150 ล้านบาทสำหรับรายใหญ่ เพื่อให้ความช่วยเหลือทั่วถึง
ชูจุดเด่น ‘ตรงจุด-Impact-กระจาย-คล่องตัว’
โครงการ SMEs Credit Boost ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด ‘ตรงจุด มี impact กระจาย คล่องตัว’ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
- ตรงจุด: เน้นกลุ่มที่เป็นฟันเฟืองใหม่ของเศรษฐกิจ
- มี Impact: ค้ำประกันความเสียหายสูงสุด 15-30% ของพอร์ตสินเชื่อ ระยะเวลานานถึง 7 ปี
- กระจาย: จำกัดวงเงินต่อรายไม่เกิน 100 ล้านบาทสำหรับ SMEs และ 150 ล้านบาทสำหรับรายใหญ่ เพื่อให้ความช่วยเหลือทั่วถึง
- คล่องตัว: ธนาคารพาณิชย์สามารถอนุมัติได้ทันทีภายในโควตาที่ได้รับ ไม่ต้องรออนุมัติงบประมาณจากภาครัฐเป็นรายกรณี
สำหรับแหล่งเงินทุนของโครงการจะมาจากการปรับลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ปี 2569 ของธนาคารพาณิชย์ประมาณ 20,000 ล้านบาท เพื่อนำมาจัดตั้งเป็นกลไกค้ำประกันสินเชื่อ ซึ่งคาดว่า จะช่วยให้มีสินเชื่อปล่อยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 100,000 ล้านบาท ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
วิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า “ภายใต้ภาวะที่เศรษฐกิจไทยเติบโตช้า หนึ่งในปัญหาเชิงโครงสร้างสำคัญที่ต้องเร่งแก้ไข คือ การหดตัวต่อเนื่องของสินเชื่อธุรกิจ โดยเฉพาะสินเชื่อ SMEs ที่ติดลบ 13 ไตรมาสติดต่อกัน จากทั้งความต้องการสินเชื่อธุรกิจที่ลดลง และความระมัดระวังของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อเพราะต้นทุนความเสี่ยงด้านเครดิต (credit cost) เพิ่มขึ้น ดังนั้น เพื่อสนับสนุนให้สินเชื่อธุรกิจกลับมาขยายตัวได้และช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ จำเป็นต้องมีกลไกที่ช่วยแชร์ความเสี่ยงด้านเครดิตจากการปล่อยสินเชื่อแก่ภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs ที่มีศักยภาพ ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม”
“สินเชื่อ SME ของไทยติดลบต่อเนื่องกันถึง 13 ไตรมาส หรือประมาณ 3 ปี ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่เพราะ SME มีความสำคัญต่อการจ้างงานถึง 70% และคิดเป็น 35% ของ GDP” วิทัย


