ครึ่งสัปดาห์ผ่านมาแล้วนับจากความพ่ายแพ้แบบตาเหลือกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ ที่ทำให้ลิเวอร์พูล ในยุคของอาร์เนอ สลอต เผชิญกับสถานการณ์ลำบากที่ไม่เคยพบเจอมาก่อนด้วยการแพ้ติดต่อกันถึง 3 นัด
บทสนทนาและคำถามมากมายเกิดขึ้นตลอดหลายวันที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้นกับทีมที่ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกแบบสบายๆ ไหนจะลงทุนอีกร่วม 400 ล้านปอนด์ในช่วงตลาดซัมเมอร์ฤดูกาลนี้
นั่นสิ?
แต่ก่อนจะพูดความอะไรกัน นี่คือการบ้าน 5 ข้อที่สลอตต้องแก้โจทย์ให้ลิเวอร์พูลเป็นการเร่งด่วนในช่วงพักเบรกทีมชาติช่วงนี้ เพื่อให้กลับมาตั้งหลักใหม่ได้อีกครั้ง
1. หัวใจที่หายไป
สิ่งแรกและสำคัญที่สุดที่ทำให้ลิเวอร์พูลมีปัญหาอย่างมากในฤดูกาลนี้คือเกมเพรสซิงที่เคยเป็นเอกลักษณ์ถูกลดทอนประสิทธิภาพลงไป
เกมเพรสซิงที่ดุดันนั้นเป็นเอกลักษณ์ของทีมดังแห่งเมอร์ซีย์ไซด์มาตั้งแต่ยุคของเจอร์เกน คล็อปป์ ภายใต้ยี่ห้อ ‘Gegenpressing’ ซึ่งพื้นฐานการเล่นนั้นได้ถูกขยับปรับเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อเข้าสู่ยุคของอาร์เนอ สล็อต โดยเป็นการเพรสซิงที่ลดทอนความอลหม่านไม่วิ่งพล่าน แต่จะเป็นการวิ่งอย่างเป็นระบบเน้นประสิทธิภาพแทน
สิ่งที่เกิดขึ้นในฤดูกาลที่แล้วคือลิเวอร์พูลมีเกมเพรสซิงที่ดุดันและแม่นยำมาก แดนบนจะสามารถบีบจนถึงปิดทางทำมาหากินของคู่แข่งได้ หรือต่อให้แกะบอลออกมาได้ด่านแรกก็จะโดนตัดบอลและเสียบอลในด่านสองต่อมาอยู่ดี
ปัญหาคือสิ่งนี้มันไม่ได้ตามมาด้วยในฤดูกาลนี้เพราะมีการเปลี่ยนแปลงในทีม ผู้เล่นเก่าที่เข้าใจระบบดีทยอยจากทีมไป (ทั้งจากเป็นและจากตลอดไป…) ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามา โดยเฉพาะตรง “แกน” อย่างศูนย์หน้าและตัวทำเกม อย่างอเล็กซานเดอร์ อิซัค, อูโก เอคิติเก และฟลอเรียน เวียร์ตซ์
โดยเฉพาะอิซัคและเวียร์ตซ์ยังมีปัญหากับการเล่นเพรสซิงในแบบของลิเวอร์พูลเพราะสภาพความฟิต กำลังวังชายังไม่ถึง และนั่นหมายถึงประสิทธิภาพลดทอนไปทันทีเพราะเพรสซิงเป็นการเล่นที่ต้องเล่นด้วยกันทั้งเซ็ต ไปพร้อมกันถึงจะได้ผล ถ้าใครคนหนึ่งไล่ไม่สุด หรือไล่ไม่เท่าเพื่อน ความพยายามของคนอื่นไร้ความหมายทันที เพราะฟังก์ชันการทำงานของระบบไม่สมบูรณ์
ดังนั้นเรื่องนี้ต้องหาทางแก้ด่วน เหมือนอัปเดตแพตช์ระบบปฏิบัติการแล้วมันไม่สมบูรณ์ แก้ใหญ่ยังไม่ไหว ต้องหาทางแก้เล็กทำ Patch ไวๆ ก่อน
2. Put the right man to the right job
ความเปลี่ยนแปลงภายในทีมลิเวอร์พูลในฤดูกาลนี้ถือว่าค่อนข้างมาก ในแง่หนึ่งคือความตื่นเต้นความแปลกใหม่ แต่ในอีกแง่มันก็มาพร้อมกับความไม่แน่ไม่นอนเหมือนกัน
หนึ่งในจุดที่เป็นปัญหาคือมีนักเตะบางคนที่สลอตไม่กล้าตัดใจทิ้งไว้กลางทาง
นักเตะคนดังกล่าวคือโดมินิก โซโบสซ์ไล ที่รับบท “เบอร์ 10” ในฤดูกาลที่แล้ว แม้ว่าจะไม่ได้รับเสียงชื่นชมมากนักแต่คนดูบอลเขารู้กันว่ากัปตันทีมชาติฮังการีมีความสำคัญขนาดไหนในการเล่นของลิเวอร์พูล และดูเหมือนว่าในฤดูกาลนี้จะยิ่งพัฒนาการเล่นและความรับผิดชอบต่อทีมให้สูงขึ้น
แต่ปัญหาคือตำแหน่งที่เคยเป็นของเขา ถูกกำหนดให้เป็นของคนใหม่อย่างเวียร์ตซ์ และนั่นหมายถึงหากสลอตไม่อยากดร็อปเขาไว้ข้างสนามก็ต้องหาที่ทางให้
เล่นกองกลางสลับกับอเล็กซิส แม็ค อัลลิสเตอร์ หรือไรอัน กราเฟนแบร์กไม่เท่าไร แต่พาลไปถึงการยืนแบ็กขวา ซึ่งมีบางนัดที่ทำได้ดีด้วย จนตอนนี้กลายเป็นปัญหาใหญ่อีกจุด เพราะจะไปเบียดกับฟูลแบ็กธรรมชาติอย่างคอเนอร์ แบรดลีย์ และน้องใหม่อย่างเยเรมี ฟริมปง
เช่น ในเกมที่แพ้กาลาตาซาราย สล็อตเลือกใช้ฟริมปงยืนปีกขวาแทนโม ซาลาห์ และให้โซโบสซ์ไลยืนแบ็กขวา ทั้งๆ ที่คนแรกตำแหน่งถนัดคือวิงแบ็ก และคนหลังก่อนจะมาลิเวอร์พูลคือปีกแท้ๆ และคนที่พลาดทำเสียจุดโทษก็คือเขาเอง
หรือในเกมกับเชลซี โซโบสไล โดนถอยมายืนแบ็กขวาแทนแบรดลีย์ที่ติดใบเหลืองจากครึ่งแรก ซึ่งในช่วงท้ายเกมกลายเป็นจุดอ่อนให้โดนโจมตี เพราะคนที่พอเล่นได้กับคนที่เล่นเป็นไม่เหมือนกัน เซนส์เกมรับของโซโบสไล ไปจนถึงทักษะพื้นฐานบางอย่าง เช่น การกลับตัว การระวังหลัง ไม่เหมือนคนเล่นแบ็กธรรมชาติแน่นอน
บางทีมันอาจจะง่ายกว่าถ้าให้แบ็กขวาสองคนเขาชิงตำแหน่งกันเอง ใครดีกว่าก็ได้ลงไป และให้โซโบสไลไปเบียดกับเวียร์ตซ์ตัวต่อตัว หรือสลับกับแม็คคัลลิสเตอร์แทน หรือแม้แต่การรอเป็นตัวสำรองลงมาเปลี่ยนเกม เพราะตัวสำรองในยุคนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะสามารถวางกลยุทธ์ได้ตั้งแต่ก่อนลงสนามเลยว่าจะเลือกลงมาเมื่อไรในสถานการณ์ไหน
ไม่ใช่โซโบสไลไม่ดี แต่ส่วนหนึ่งของปัญหาคือสลอตไม่รู้จะใช้งานหรือเก็บเขาอย่างไร ดังนั้นต้องกลับไปพื้นฐาน “ใช้คนให้ถูกกับงาน” ดีที่สุด
3. Help ‘Mo’ Please!
นับตั้งแต่ฤดูร้อน 2017 เป็นต้นมา ‘Salah Running down the wing’ ให้ลิเวอร์พูลอย่างแข็งขันมาตลอด ไม่เคยหยุด ไม่เคยบ่น ไม่เคยออก (จากสนามด้วย)
ไม่ว่าคุณจะชอบหรือไม่ชอบ อย่างน้อยสตาร์วัย 33 ปีก็พิสูจน์ตัวเองด้วยผลงานในระดับมหัศจรรย์มาโดยตลอด โดยเฉพาะในฤดูกาลที่แล้วที่มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 20 ได้สำเร็จ
แต่ในฤดูกาลนี้ไม่เหมือนเดิม
ซาลาห์ดูกำลังวังชาลดลงจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด อย่าว่าแต่การครีเอตสร้างสรรค์เกมเลย ลำพังแค่การเก็บบอลไม่ให้โดนคู่แข่งไล่บดไล่บี้ชิงบอลกลับไปก็ยากแล้ว ซึ่งบางครั้งไม่ต้องเสียตัวประกบไปตามแบบดับเบิลมาร์ก แค่แบ็กที่มีความเร็วหน่อยก็เก็บเข้ากระเป๋าง่าย ๆ แล้ว
กลายเป็นยิ่งเล่นยิ่งดูแย่ ในขณะที่ทุกคนยังคาดหวังว่าเขาจะสร้างความมหัศจรรย์ได้เหมือนเก่า พาลกลายเป็นเรียกร้องให้ดร็อปไปจากทีมหรือเปลี่ยนตัวออกจากสนามบ้าง
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่สลอตต้องหาทางช่วย
จากคำพูดของโมตั้งแต่ออกสตาร์ตฤดูกาล เคยบอกว่าด้วยเพื่อนในทีมที่เปลี่ยนไปจากหลุยส์ ดิอาซ, ดาร์วิน นูนเยซ หรือดีโอโก โชตา มาเป็น เอคิติเก, เวียร์ตซ์, อิซัค เรื่องการปรับตัวเข้าหายังต้องทำอยู่ และต้องใช้เวลาด้วย
ปัญหาคือโมในวัยนี้ไม่น่าอยู่ในวัยที่มีแรงจะปรับตัวเข้าหาใครแล้ว ทีมควรจะปรับตัวเข้าหาเพื่อประคับประคอง เพราะถึงจะโรยราแต่ซาลาห์ยังเป็นหนึ่งในตัวสร้างสรรค์ที่มีประโยชน์กับทีมเสมอ ขอแค่มีจังหวะเหมาะเหม็งเท่านั้น
นอกเหนือจากนั้นคือระบบสนับสนุน (Support system) ของโมที่หายไป จากแบ็กขวาที่เคยมี “TAA66” และหมายเลข 10 อย่างโซโบสไลที่พร้อมขยับมาช่วย ฤดูกาลนี้แทบมองไปไม่เห็นใครเลย คือมีก็จริงแต่ความเข้าขารู้ใจไม่มี
บอลแทงยาวสวยๆ จากเทรนต์ที่ให้เขาชิงความได้เปบรียบกับกองหลังหายไป
ดังนั้นแทนที่จะปล่อยให้โมเดียวดาย สลอตควรจะต้อง “ใส่ระบบ” เข้าไปช่วยเกมทางฝั่งขวาของเขามากขึ้น มากกว่าจะเน้นขึ้นแค่ทางซ้ายที่ประสิทธิภาพห่างไกลกันมาก
และในบางจังหวะสถานการณ์หากประเมินแล้วว่าโมกำลังวังชาตก การเปลี่ยนตัวเขาออกมาพักเพื่อให้คนอื่นลงมาช่วยทีมบ้างก็เป็นอีกหนึ่งการช่วยเหลือเช่นกัน นั่นคืองานของสลอตที่จะต้องบริหารจัดการให้ได้
4. กลับมาสู่พื้นฐาน
ในฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นถึงความประมาทเลินเล่อในการเล่นให้เห็นโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นในเกมรับที่ผลัดกันก่อความผิดพลาดให้เห็น ไม่ว่าวิ่งถอยไม่ยอมเข้าบอลบ้าง หรือการจ่ายลั่นให้เพื่อนต้องลำบาก ไปจนถึงการยืนคุมตำแหน่งไม่ดีเปิดพื้นที่ให้คู่แข่งจู่โจม
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการรับส่งบอลที่ขาดความแม่นยำไม่เฉียบไม่คมเหมือนก่อน
สิ่งเหล่านี้ต่อให้ไม่ได้ตั้งใจแต่ก็เกิดขึ้นได้สำหรับทีมที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว อาการของความประมาทเลินเล่อ (Complacency) เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งจะสวนทางกับทีมคู่แข่งที่ตั้งใจมาอย่างเต็มที่เพื่อจะล้มแชมป์ให้ได้ และนั่นทำให้ลิเวอร์พูลตกอยู่ใต้สถานการณ์ที่ยากลำบาก ซึ่งก็เริ่มลำบากจริงๆ แล้ว
ในเวลาแบบนี้สิ่งที่จะช่วยให้ผ่านไปได้คือการกลับมาโฟกัสกับการเล่นแบบพื้นฐาน ตั้งแต่การรับส่งบอล การเคลื่อนที่หาตำแหน่ง ไปจนถึงเกมรับที่ต้องคิดเสมอว่าการขยับต่อให้แค่ 1 ก้าว หรือการเทคตัวขึ้นกลางอากาศมีส่วนในการช่วยป้องกันประตูให้ทีมได้
เจมี คาร์ราเกอร์ มองเห็นสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่ช่วงแรกของฤดูกาล ถึงแม้ลิเวอร์พูลจะเก็บชัยชนะได้ตลอดแต่ฟอร์มการเล่นของพวกเขาไม่เหมือนทีมที่จะเป็นแชมป์เลยแม้แต่น้อย และหากเรามองย้อนกลับไปในฤดูกาลที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกันทีมชุดนั้นเล่นได้ดีและแน่นอนกว่านี้มาก (ชนะง่ายจนแฟนบอลบอกไม่ชิน)
ความยากคือการรวบรวมสิ่งเหล่านี้กลับมาไม่ง่ายนักและไม่เคยง่าย มีทีมที่เคยประสบความสำเร็จมากมายที่พร้อมจะล้มเหลวในฤดูกาลถัดไป
เพียงแต่สำหรับลิเวอร์พูลทีมนี้ ดีเกินกว่าที่จะบอกว่าพวกเขาจะเจอกับขวบปีที่ล้มเหลว
5. สร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกัน
หนึ่งในเรื่องเล็กที่เอ็นโซ มาเรสกา นายใหญ่เชลซีบอกก่อนจะลงสนามพบกับลิเวอร์พูลคือการชื่นชมทีมของสลอตที่ทำทุกอย่างได้ดี
เพราะและได้โปรดอย่าลืมว่าพวกเขาทุกคนเพิ่งผ่านความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่มา
ผลกระทบจากการจากไปของดีโอโก โชตา เป็นแผลทางใจที่ไม่ได้หายง่ายๆ เพียงแต่ในเวลาที่ทีมแพ้ความไม่พอใจ ความผิดหวัง ความอะไรหลายอย่างจากแฟนฟุตบอลโดยเฉพาะบนโลกออนไลน์ก็อาจจะลืมไปว่า “พวกเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง”
งานของสลอตอีกอย่างที่ควรทำและอาจทำคือการพยายามสร้างความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันกับแฟนฟุตบอลอีกครั้ง ไม่ว่าจะผ่านคำพูดหรือผ่านการกระทำอะไรสักอย่าง
เหมือนครั้งหนึ่งที่คล็อปป์เคยพานักเตะเดินไปขอบคุณแฟน ๆ ที่ตามไปเชียร์ในเกมที่ไล่ตามตีเสมอเวสต์ บรอมวิช อัลเบียน 2-2 ที่คนอื่นมองแล้วขำขันเพราะคิดว่าเป็นสิ่งไร้สาระแต่มันคือโมเมนต์สำคัญที่เปลี่ยนโชคชะตาของลิเวอร์พูลจนถึงวันนี้
ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลไม่ได้มีหน้าที่แค่ดูแลนักเตะในสนามเท่านั้น แฟนฟุตบอลคือคนที่พวกเขาต้องดูแลและทำความเข้าใจ
โดยเฉพาะในวันอ่อนแอแบบนี้ การขอพลังสักหน่อยไม่ใช่เรื่องเสียหาย
เชื่อเถอะว่าเดอะ ค็อปไม่ใจร้ายหรอก พวกเขารู้ดีว่าหน้าที่ของเขาคืออะไร…