วันนี้ (24 เมษายน) ที่กองบังคับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป) ษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน แถลงข่าวเปิดปฏิบัติการ ‘ป้อนเหยื่อให้อินทรีย์’ จำแนกเหยื่อคดีเว็บพนันออนไลน์ BNK Master 3 กลุ่ม และติดตามความคืบหน้ากรณีที่ร้องให้ตรวจสอบ พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่าดำเนินการไปถึงขั้นตอนใด
ษิทรากล่าวว่า การมาที่ บก.ปปป. วันนี้เพื่อจะเอาเหยื่อมาป้อนอินทรีย์ ซึ่งอินทรีย์คือ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) หลังจากที่ตนเองติดตามเรื่องดังกล่าวมาหลายครั้งแต่ยังไม่มีความคืบหน้าในคดี
วันนี้จึงได้ทำแผนผังเส้นทางการเงินของสาย พล.ต.อ. ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ปรากฏข้อมูลว่ามีการรับโอนเงินมาจากเว็บพนันออนไลน์ BNK Master เข้าบัญชีม้า โดยจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรกคือ กลุ่มตำรวจที่โอนเงินเข้าบัญชีม้า คือเป็นคนไปเก็บส่วยแล้วโอนเงินเข้าบัญชีของณัฐพงศ์และคชาชาญ
กลุ่มที่สองคือ กลุ่มที่มีการดูแลคือคนที่ได้รับโอนเงินจากบัญชีม้าเข้าตำรวจ ซึ่งบัญชีของณัฐพงศ์และคชาชาญได้โอนเงินให้ตำรวจทุกเดือน เป็นลักษณะเงินพิเศษ
กลุ่มที่สามเป็นกลุ่มที่ทั้งโอนให้และรับเงิน เปรียบเหมือนน้ำตก คือมีการเก็บเงินมาก่อน จากนั้นเอาไปส่งต่อให้ผู้เป็นนาย และนายจะทอนกลับมาให้แล้วแต่ว่าจะได้เท่าไร
“ไม่ว่าจะเป็นส่วยระดับไหน จะเป็นน้ำตกหรือน้ำพุก็คือส่วย ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน” ษิทรากล่าว
ษิทรากล่าวต่อว่า วันนี้มาดูใจอินทรีย์เต่าว่าจะกล้าดำเนินคดีกับ ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือไม่ เพราะ ผบ.ตร. ถือว่าไม่ธรรมดา 8 ปี 8 ตำแหน่ง เลื่อนยศมาตลอดทุกปี การเมืองเรียกกันว่าตั๋วช้าง ตำรวจบางคน 8 ปียังไม่ขยับไปไหน แต่บุคคลนี้เติบโตมาทุกปี
ซึ่งอินทรีย์เต่าจะต้องปราบ ก่อนหน้านี้ตนให้ความเชื่อมั่นการดำเนินการของ พล.ต.ต. จรูญเกียรติ 70-80% ตอนนี้ให้อยู่ที่ 20-30% เมื่อครั้งที่แล้วที่ตนเข้ามาตามเรื่องก็ไม่ได้เจอ แต่ก็จะนำเหยื่อมาให้เรื่อยๆ จะรอดูว่าจะอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้หากไม่ทำทุกคนคงจะดูออกและพอจะเดากันได้ หากไม่งับเหยื่อ รังก็เละและเน่า อยากให้ทำอะไรให้ตรงไปตรงมาเหมือนมาตรฐานที่เคยทำไว้
ษิทรากล่าวว่า เมื่อวาน (23 เมษายน) ได้ยื่นแผนผังที่แถลงข่าวและแผนผังที่นำมาวันนี้ให้กับคณะกรรมการชุดที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง โดยมีโอกาสได้พูดคุยเปิดใจกับคณะกรรมการ โดยคณะกรรมการชุดดังกล่าวก็ให้ความเชื่อมั่นและให้ความมั่นใจว่าจะทำคดีด้วยความตรงไปตรงมา
ทางคณะกรรมการบอกด้วยคำพูดที่ว่า “ฝ่ามือไม่อาจจะปิดกั้นได้แล้ว” เพราะเรื่องใหญ่มาก ไม่สามารถช่วยเหลือใครได้ จากนี้ประชาชนจะต้องติดตามการทำงานของคณะกรรมการชุดที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นมาว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่ หากกรณีนี้ที่ตนไปร้องเรียนแล้วดำเนินคดีกับอีกคน แต่หากอีกคนไม่ดำเนินคดีและบอกว่าไม่มีความผิด ก็เปรียบเสมือนมวยล้มต้มคนดู
จากนั้น ษิทราได้อธิบายแผนผังเส้นทางการเงินที่นำมามอบเป็นหลักฐานในวันนี้ โดยอธิบายว่า ฝั่งหนึ่งเป็นเงินที่ได้จากการเก็บส่วย 18 ธุรกิจ ส่วนอีกฝั่งเป็นเส้นทางการเงินจากเว็บพนัน ซึ่งมียอดเงินหมุนเวียนรวมกว่า 800 ล้านบาท
ข้อมูลดังกล่าวเป็นเพียงการตรวจสอบจากบัญชีเพียงบัญชีเดียว ซึ่งยังมีอีกหลายบัญชีที่ยังไม่ได้ตรวจสอบ คาดว่ายอดเงินอาจสูงถึงหลักหลายพันล้านบาท
ษิทรากล่าวต่อว่า หลังจากที่ได้นำหลักฐานไปมอบให้กับเจ้าหน้าที่ทำให้ทราบว่าคดีนี้ทาง บก.ปปป. ได้ประมวลเรื่อง และส่งไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เพื่อให้ ตร. ตั้งคณะทำงานคดีนี้ขึ้นมาแล้ว หลังจากนี้จะต้องไปตามเรื่องกับ พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ทราบว่าเรื่องดังกล่าวส่งไปตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา และเท่าที่ตนได้ฟังตำรวจคุยกันทราบว่าหลักฐานที่ตนมอบให้ไปก่อนหน้านี้ ทุกอย่างครบหมดแล้ว คงจะต้องติดตามกันต่อว่าทาง ตร. จะพิจารณาอย่างไร ซึ่งจะหาโอกาสไปพบและติดตามความคืบหน้าต่อไป
ษิทรากล่าวว่า จากนี้ทางรักษาการฯ จะต้องพิสูจน์ตัวเอง ว่าจะสามารถปัดกวาดบ้านตัวเองได้หรือไม่ และคดีดังกล่าวน่าจะใหญ่กว่าคดีของ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.
ในวันพรุ่งนี้ (25 เมษายน) ตนจะไปพบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาล (สน.) เตาปูน เพื่อให้การเพิ่มเติม และในวันที่ 26 เมษายน จะไปยื่นหนังสือกับคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ (ก.ร.ตร.) เพื่อคัดค้านตำรวจบางนายที่มาช่วยพิจารณาเรื่องร้องเรียน เนื่องจากพิจารณาดูแล้วไม่เหมาะสม