วันนี้ (3 ตุลาคม) สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ รายงานสถานการณ์น้ำภาพรวมของประเทศ เวลา 07.00 น. พบว่า ปริมาณฝนลดลงในหลายพื้นที่ แต่ยังคงมีน้ำสะสมในแหล่งน้ำทั่วประเทศสูง โดยเฉพาะในเขื่อนหลัก ขณะที่แม่น้ำมูลที่อุบลราชธานียังคงสูงกว่าตลิ่ง
ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา (สิ้นสุด 07.00 น. วันที่ 3 ตุลาคม) ปริมาณฝนสะสมสูงสุดอยู่ที่ ภาคตะวันออก โดยเฉพาะที่ จังหวัดชลบุรี (76 มม.) รองลงมาคือภาคตะวันตกที่กาญจนบุรี (62 มม.) และภาคกลางที่สระบุรี (58 มม.)
การคาดการณ์ ระหว่างวันที่ 4 – 5 ตุลาคม ประเทศไทยจะมีฝนลดลง แต่ในช่วงวันที่ 6 – 8 ตุลาคม ร่องมรสุมจะพาดผ่านภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ประเทศไทยจะมีฝนตกหนักบางแห่งในพื้นที่ดังกล่าว
- ปริมาณน้ำทั่วประเทศ: ปริมาตรน้ำในแหล่งน้ำทั่วประเทศรวมอยู่ที่ 66,585 ล้านลูกบาศก์เมตร (83%) ของความจุ โดยเป็นน้ำใช้การได้ 42,464 ล้านลูกบาศก์เมตร (73%) ซึ่งปริมาณน้ำปัจจุบัน มากกว่าปี 2567 อยู่ 6,356 ล้านลูกบาศก์เมตร
- แม่น้ำเจ้าพระยา: ณ สถานี C.2 อ.เมืองฯ จ.นครสวรรค์ มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 2,770 ลบ.ม. ต่อวินาที โดยยังต่ำกว่าระดับตลิ่ง 1.25 ม. ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาได้ปรับเพิ่มการระบายน้ำอยู่ที่ 2,400 ลบ.ม. ต่อวินาที
- แม่น้ำมูล: ณ สถานี M.7 อ.เมืองฯ จ.อุบลราชธานี มีปริมาณน้ำไหลผ่าน 3,007 ลบ.ม. ต่อวินาที โดยยังคงสูงกว่าระดับตลิ่ง 1.30 ม. แต่ยังต่ำกว่าตลิ่งชั่วคราวอยู่ 0.30 ม.
วานนี้ (2 ตุลาคม) ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมติดตามสถานการณ์น้ำ โดยมีมติเห็นชอบให้ ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนสิริกิติ์แบบขั้นบันได จากเดิม 15 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพิ่มจนถึง 25 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นเพื่อ พร่องน้ำออกจากเขื่อนสิริกิติ์ เนื่องจากปริมาณน้ำมีแนวโน้มใกล้เต็มความจุ และเพื่อรักษาความมั่นคงแข็งแรงของเขื่อน ป้องกันความเสี่ยงน้ำล้นที่จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำเพิ่มเติม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำคาดการณ์ว่า จะมีฝนกลับมาตกเพิ่มขึ้นอีกครั้งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงวันที่ 5-7 ตุลาคมนี้
นอกจากนี้ ที่ประชุมยังให้ ปรับลดการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล จาก 10 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เหลือ 5 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน
เนื่องจากเขื่อนยังสามารถรับน้ำได้อีกประมาณ 2,000 ล้าน ลบ.ม. โดยกำชับให้ควบคุมการระบายน้ำของเขื่อนทั้งสองแห่งให้อยู่ในอัตรารวมกันไม่เกิน 30 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เพื่อลดผลกระทบต่อด้านท้ายน้ำ
ในส่วนของพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งลำน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น มีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้น กรมชลประทานและการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จะมีการหารือแนวทางการบริหารจัดการน้ำเขื่อนอุบลรัตน์ เพื่อเร่งบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนต่อไป