วันนี้ (1 ธันวาคม) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลชั้นต้นนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีหมายเลขดำที่ อ.2867/2563 ที่ สิระ เจนจาคะ อดีต สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) กรุงเทพมหานคร (กทม.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และประธานกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา
กรณีสืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2563 สิระ โจทก์ได้ยื่นหนังสือขอลาออกจากการเป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จำเลยจึงทำหนังสือด่วนที่สุด ลงวันที่ 10 กันยายน 2563 และยื่นหนังสือดังกล่าวผ่านสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ถึงประธานสภาผู้แทนราษฎรว่า โจทก์มีหนังสือขอลาออกจากการเป็นกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จำเลยในฐานะประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จึงขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรเพื่อตั้งกรรมาธิการแทนที่ว่าง และมีข้อความในย่อหน้าสุดท้ายว่า
เนื่องจาก สิระ เจนจาคะ เป็นกรรมาธิการที่ไม่มีความรู้ และไม่สนใจปฏิบัติหน้าที่ ขาดการประชุมบ่อยครั้ง เข้าประชุมแต่ละครั้งเพียง 1 นาที หรือไม่เกินครึ่งชั่วโมง เพียงหวังรับเบี้ยประชุมเท่านั้น จึงขอให้แจ้งทางพรรคได้พิจารณาบุคคลที่มีความรู้ความเหมาะสมกับตำแหน่งมาปฏิบัติหน้าที่ ต่อมาสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เผยแพร่หนังสือดังกล่าวในเว็บไซต์ของสภาผู้แทนราษฎร
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกฟ้อง ตั้งแต่ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์
วันนี้ สิระ โจทก์และผู้รับมอบฉันทะทนายจำเลยมาศาลเพื่อฟังคำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วตามทางไต่สวนมูลฟ้องได้ความว่า
โจทก์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ และเป็นประธานคณะกรรมการที่การกฎหมาย การยุติธรรม และสิทธิมนุษยชน จำเลยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย และเป็นประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ จำเลยเป็นประธานกรรมาธิการในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า คดีโจทก์มีมูลหรือไม่เห็นว่าการหมิ่นประมาทนั้นเป็นการกระทำโดยใส่ความ คือบอกกล่าวข้อความอันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้ว หรือกำลังเกิดขึ้นอยู่เป็นการยืนยันข้อเท็จจริง เป็นการกล่าวหาผู้อื่นต่อบุคคลที่สามให้ได้รับความเสียหาย และข้อความดังกล่าวจะเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทหรือไม่
จากถ้อยคำที่จำเลยกล่าวในหนังสือประธานสภาผู้แทนราษฎร ที่ว่าโจทก์เป็นกรรมาธิการไม่มีความรู้ และไม่สนใจปฏิบัติหน้าที่ ขาดการประชุมอยู่บ่อยครั้ง เข้าประชุมแต่ละครั้งไม่เกินครึ่งชั่วโมงเพื่อหวังเบี้ยประชุมเท่านั้น มีลักษณะเป็นการยืนยันว่าโจทก์ขาดคุณสมบัติในการทำหน้าที่กรรมาธิการในคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบมิชอบสภาผู้แทนราษฎร
ทำให้โจทก์ซึ่งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชนทั่วไปถูกดูหมิ่นเหยียดหยามว่า โจทก์ไม่มีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่ เป็นคนไม่ดี ไม่ซื่อตรง หรือทุจริตประพฤติมิชอบเสียเอง ถ้อยคำดังกล่าวจึงอาจทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทได้ ประกอบกับได้ความตามที่โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า โจทก์กับจำเลยมีข้อพิพาทกันมาก่อน
จำเลยกล่าวถ้อยคำดังกล่าวในหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยไม่สุจริตมุ่งจะทำลายชื่อเสียงของโจทก์ ทำให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ได้รับความเสียหาย
คดีโจทก์จึงมีมูลให้ประทับรับฟ้องและพิจารณา ที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องศาลอุทธรณ์ไม่เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับให้ประทับรับฟ้อง และนัดจำเลยมาสอบคำให้การ ตรวจพยานหลักฐาน และกำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 20 มีนาคม 2566 เวลา 13.30 น.