เมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้ว (14 ต.ค.) เป็นวันที่ดีสำหรับวงการฟุตบอลไทยและชาวสุพรรณบุรีทีเดียวครับ เมื่อแฟนบอลเรือนหมื่นต่างเดินทางมาเพื่อร่วมชมการแข่งขันนัดกระชับมิตรระหว่างทีมชาติไทยที่พบกับทีมชาติตรินิแดดและโตเบโก
โดยเกมนี้มีความสำคัญมากกว่าปกติตรงที่เป็นเกมอำลาทีมชาติของ สินทวีชัย หทัยรัตนกุล หรือ ซูเปอร์ตี๋ ชื่อที่แฟนบอลบ้านเราเรียกขานผู้รักษาประตูฝีมือดีที่รับใช้ทีมชาติไทยมาอย่างยาวนานเป็นระยะเวลาถึง 14 ปี
อันที่จริงในประวัติศาสตร์ลูกหนังไทยเราก็มีนักฟุตบอลระดับตำนานมากมายหลายคนที่รับใช้ทีมชาติมาอย่างยาวนาน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้มีเกมอำลาสนามแบบนี้ครับ
ที่ผมจำได้น่าจะมีเพียง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และตะวัน ศรีปาน (แม้กระทั่ง ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน ผมก็ไม่แน่ใจว่าเดอะ ตุ๊ก ได้มีเกมอำลาทีมชาติแบบนี้ไหม)
ที่เมืองนอกเมืองนาเขาก็ไม่ได้มีธรรมเนียมนัดอำลาทีมชาติอะไรแบบนี้ครับ ยกตัวอย่างเช่น เดวิด เบ็คแฮม อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ ก็ไม่ได้มีเกมอำลาสนามอย่างเป็นทางการแม้จะมีการเรียกร้องกัน หรือเวย์น รูนีย์ ผู้ทำลายสถิติดาวซัลโวตลอดกาลของ เซอร์ บ็อบบี ชาร์ลตัน ในทีมสิงโตคำรามก็จากทีมไปอย่างเงียบๆ
ซีเนดีน ซีดาน ปิดฉากเส้นทางทีมชาติและเส้นทางฟุตบอลด้วยการเดินผ่านถ้วยแชมป์ฟุตบอลโลก หลังบันดาลโทสะด้วยการโขกใส่ มาร์โก มาเตรัซซี ที่ยั่วยุสำเร็จ
การที่สินทวีชัยได้มีโอกาสบอกรักและบอกลาแฟนฟุตบอลทีมชาติไทยเป็นครั้งสุดท้ายจึงเป็นเรื่องพิเศษ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกม The Last Save นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเขาเป็นฝ่ายเรียกร้อง หากแต่เป็นทุกคนที่ต้องการจะตอบแทนความพยายามและน้ำใจของยอดประตูสายเลือดชาวสกลนครที่ประกาศอำลาทีมชาติแบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน หลังจบเกมฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกกับทีมชาติออสเตรเลียเมื่อปีกลาย
นั่นทำให้ผมกลับมานึกย้อนดูอีกทีครับว่าทำไมทุกคนถึงทำเพื่อเขา
และนั่นทำให้ผมพบว่ามีหลายสิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากสินทวีชัยได้ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดีทั้งสิ้น
ลองมาดูกันนะครับว่าเราเรียนรู้อะไรจากเขาได้บ้าง 🙂
ไม่เคยกลัวคำว่า ‘โอกาส’
ว่ากันว่าหนึ่งในสิ่งที่สร้างความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลวคือความสามารถในการรับมือกับคำว่า ‘โอกาส’
คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ไม่กลัวที่จะคว้าโอกาส พร้อมจะก้าวออกมาข้างหน้า กระโดดสุดตัว เหยียดสุดแขน เพื่อที่จะคว้ามันมาให้ได้
สินทวีชัย หรือเจ้าหนูโกสินทร์ หทัยรัตนกุล ก็เป็นหนึ่งในคนที่พร้อมจะแลกกับทุกอย่างเพื่อโอกาสครับ
ลองนึกภาพดูว่าเด็กต่างจังหวัดคนหนึ่งตัดสินใจที่จะเดินทางไกลมาเพื่อคัดตัว มันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลยครับ มันเป็นการตัดสินใจที่ต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยวอย่างมาก
แต่เจ้าตี๋ หรือชื่อเล่นจริงๆ ในสมัยนั้นว่าเจ้าบอลก็ทำ
เพราะเขาอยากจะเก่ง อยากประสบความสำเร็จ อยากติดทีมชาติ
เจ้าหนูคนนี้ ‘หัวใจมันได้’
สะกดคำว่าท้อไม่เป็น
หากเดินทางไกลครึ่งประเทศเพื่อจะมาพบว่ามีคู่แข่งมาร่วมคัดตัวกันมากมายมหาศาลถึง 1,500 คน โดยในจำนวนนี้จะมีแค่ 15 คนได้รับการคัดเลือก แล้วสุดท้ายตัวเองก็ไม่ได้รับการคัดตัวด้วย
ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร
เชื่อว่าน่าจะมีคนจำนวนหนึ่งที่ท้อแท้ สิ้นหวัง และตัดใจจากเส้นทางง่ายๆ เพียงแต่นั่นไม่ใช่สำหรับสินทวีชัย
ตามคำบอกเล่าของเจ้าตัว เขาเองก็รู้สึกแย่และคิดว่าทำไมการจะได้รับการคัดตัวมันเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดนี้ แต่แทนที่จะท้อ เขาตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อและกลับมาคัดตัวอีกครั้งที่โรงเรียนอัสสัมชัญ ศรีราชา จนในที่สุดก็ได้รับการคัดเลือกเข้าโครงการช้างเผือกจนได้
นับจากวันนั้นจึงมีคำหนึ่งที่สินทวีชัยสะกดไม่เป็น
เขียนอย่างไรก็ได้แค่ ทอ ท่อ ท๊อ ท๋อ
สะกดอย่างไรก็ไม่ได้คำว่า ท้อ
มืออาชีพตั้งแต่วัยรุ่น
หนึ่งในความเป็นสินทวีชัยที่โดดเด่นที่สุดคือเรื่องของความมุ่งมั่น ทุ่มเท และความเป็นมืออาชีพ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่เดินทางบนถนนสายลูกหนัง ‘ซูเปอร์ตี๋’ รักษามันเอาไว้ได้เสมอตั้งแต่วัยรุ่น
มาสเซอร์เดี่ยว-ยุทธนา ธรรมประเสริฐ ผู้ที่เปิดประตูบานแรกรับเขาเข้าสู่ครอบครัวลูกหนังอัสสัมชัญ ศรีราชา เล่าว่า “บางวันที่โค้ชไม่ได้ซ้อม ตอนเช้าเขาจะเอาบอลมาเตะอัดกำแพงเพื่อซ้อมของเขาคนเดียว ตั้งแต่วันนั้นจนมีได้ถึงวันนี้ เขาไม่เคยลืมจุดเริ่มต้น”
ขณะที่ โค้ชเฮง-วิทยา เลาหกุล ปราชญ์ลูกหนังเมืองไทย ผู้ที่ไม่เคยเอ่ยปากชมใครง่ายๆ แต่กับสินทวีชัย โค้ชเฮงถึงกับยอมรับและยกย่องให้เป็นแบบอย่างของความเป็นมืออาชีพ
“ผมยกตัวอย่างความเป็นมืออาชีพให้นักเตะอะคาเดมีของชลบุรีทุกๆ คนฟังว่า สินทวีชัยเนี่ย เวลาเขากลับจากเล่นทีมชาติจะตรงกลับมาซ้อมที่สโมสรทันที เพราะส่วนใหญ่บางคนกลับมาจากทีมชาติแล้วจะขอพักไปสักสัปดาห์หรือเป็นเดือน นี่คือสิ่งที่ต่างจากสินทวีชัย”
สิ่งที่บอกได้คือสินทวีชัยมีทัศนคติของ ‘มืออาชีพ’ ตัวจริงมาตั้งแต่วัยรุ่น ซึ่งเรื่องของทัศนคติและความเป็นมืออาชีพนี้เป็นจุดอ่อนของนักฟุตบอลไทยมาทุกยุคทุกสมัย เพราะไม่ว่าจะเก่งกาจหรือมีพรสวรรค์เพียงใด เราเห็นกันนักต่อนักแล้วว่าหากขาดสิ่งเหล่านี้ไปจะไม่มีวันไปถึงดวงดาวได้เลย
ทะเยอทะยาน แต่ถ่อมตน
สองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะอยู่ด้วยกันได้ แต่สำหรับสินทวีชัย เขาเป็นคนที่มีทั้งสองอย่างในตัวเองอย่างพอดีๆ
เขารู้ว่าตัวเองเป็นคนทะเยอทะยาน เป็นคนที่มองสูง มองไกล (ดังจะเห็นได้จากการที่เขาอยากจะเข้าโรงเรียนฟุตบอลดีๆ เพราะอยากเก่ง และอยากจะแบ่งเบาภาระครอบครัวในเรื่องการเรียนด้วย) เขากล้าที่จะพูด กล้าแสดงความคิดเห็น กล้าในแบบที่นักฟุตบอลไทยส่วนใหญ่ไม่กล้า
แต่ในความทะเยอทะยานนั้น สินทวีชัยไม่เคยใช้มันทำร้ายใคร เขาไม่เคยเหยียบใครให้ต่ำเพื่อให้ตัวเองอยู่สูง
ในทางตรงกันข้าม เขามีความถ่อมตน ให้เกียรติผู้อื่นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ รุ่นเดียวกัน หรือรุ่นน้อง
จะดีได้ก็ด้วยตัวของเขาเอง ด้วยการที่คนอื่นยอมรับเขาเอง จะไม่มีวันยอมเหยียบย่ำใครขึ้นไปเป็นอันขาด
นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทุกคนรักและยอมรับผู้รักษาประตูคนนี้
กำลังใจที่ดีที่สุดคือตัวเราเอง
หากได้ติดตามสินทวีชัยบนโซเชียลมีเดียจะพบว่าตัวตนของเขาเป็นคนที่มองโลกในแง่บวก มีอารมณ์ขัน และหากได้ใกล้ชิดตัวตนจริงๆ จะรู้ว่าเขาก็เป็นแบบที่เราเห็นในโลกออนไลน์ เพิ่มเติมคือการเป็นคนที่ยิ้มง่ายและยิ้มให้กับทุกคน
การมองโลกในแง่ดีนั้น นอกจากจะทำให้เขากลายเป็น ‘ที่รัก’ ของทุกคน ไม่ว่าจะคนรอบข้างหรือแฟนฟุตบอลแล้ว ยังทำให้สินทวีชัยสามารถรับมือกับทุกเรื่องบนโลกได้
ไม่ว่าจะหนักหนาหรือยากเย็นแค่ไหน ตราบใดที่หัวใจยังเต้นอยู่ เขาก็พร้อมจะยิ้มสู้กับทุกเรื่อง
แต่ก่อนจะยิ้มได้นั้น หนึ่งในความลับสำคัญที่เขาเปิดเผยถึงที่มาของกำลังใจมหาศาลที่มากพอจะแบ่งปันให้ทุกคนได้นั้นมาจากการที่เขาเป็นคนชอบให้กำลังใจตัวเองก่อน โดยทุกมุมในบ้านจะมีข้อความที่ให้กำลังใจตัวเองเสมอ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนหรือหลังจบเกม เจ้าตี๋ก็จะอ่านข้อความพวกนี้ปลุกใจเสมอ
“ผมว่าการให้กำลังใจตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดี และข้อความเหล่านี้จะเป็นแรงกระตุ้นให้เราแก้ไขในสิ่งที่ผิดพลาดไปเพื่อไว้ปรับปรุงตัวเองในการลงทำหน้าที่ในเกมต่อๆ ไป” สินทวีชัยเคยกล่าวไว้
อดทนและอดกลั้น
ในชีวิตคนเราไม่ได้ประสบความสำเร็จหรือสวยงามทุกวัน มันย่อมมีวันที่เลวร้ายด้วยเช่นกัน
แม้จะเป็นยอดขวัญใจอย่างสินทวีชัย แต่เขาก็เคยผ่านวันเวลาที่แย่ๆ มามาก โดยเฉพาะในช่วงที่หลุดฟอร์มไม่ว่าจะกับในทีมระดับสโมสรหรือในทีมชาติที่ทำให้เขาต้องถูกแฟนบอลตะโกนด่าทั้งในสนามยันบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ
ในยุคสมัยที่นักฟุตบอลใช้ช่องทางโซเชียลมีเดียแสดงตัวตนกันมากแบบนี้ เราก็มักจะได้เห็นบางคนตอบโต้กลับแฟนบอลอย่างเผ็ดร้อน ซึ่งนั่นไม่ต่างอะไรจากการราดน้ำมันบนกองไฟที่จะยิ่งทำให้เปลวเพลิงเผาผลาญความรู้สึกต่อกันและกัน
แต่สำหรับสินทวีชัย เขาเลือกที่จะอดทนและอดกลั้นต่อคำด่าแล้วใช้ผลงานในสนามพิสูจน์ตัวเอง เช่นเดียวกับความเจ็บปวดที่ต้องโดนตัดชื่อออกจากทีมเหมือนที่เคยหลุดทีมชุดซีเกมส์ 2014 แต่แทนที่เขาจะเดือดเนื้อร้อนใจ เขากลับทุ่มเทเพื่อจะได้รับการเรียกตัวติดทีมอีกครั้ง
สินทวีชัยทำแบบนี้เสมอไม่ว่าจะเจอช่วงเวลาเลวร้ายแค่ไหน และมันประสบความสำเร็จทุกครั้ง
เหมือนที่เขาเคยบอกไว้ว่า “มันไม่ใช่เรื่องของเราที่จะเลือกตัวเองลงสนาม มันเป็นหน้าที่ตัดสินใจของโค้ช เรามีหน้าที่เดียวคือทำงานให้หนัก และทำให้ทุกคนเห็นว่าเราดีพอที่จะอยู่ในทีมชาติ”
ผู้นำอยู่ที่ทำตัว
ในทุกสังคมต้องการผู้นำเสมอ เพียงแต่การที่คนจะได้เป็นผู้นำนั้นมันมาได้จากหลายวิธี บางคนอาจจะคิดเก่ง บางคนอาจจะพูดเก่ง
สำหรับสินทวีชัย เขาเป็นคน ‘ทำเก่ง’ คือเป็นผู้นำที่ไม่ใช้การพูดเป็นหลัก แต่เน้นในเรื่องของการปฏิบัติตัวเป็นหลัก เรียกว่าเป็นแบบอย่างที่ดีด้วยการกระทำอย่างแท้จริง
ดังนั้นไม่ว่าจะมีปลอกแขนกัปตันทีมสวมหรือไม่ สินทวีชัยคือหนึ่งในผู้นำของทีมที่ทุกคนพร้อมจะรับฟังเสมอเวลาที่เขาพูด บอก สอน เตือน แสดงความคิดเห็น หรือตำหนิ (และเขาไม่เคยเกรงใจที่จะตำหนิอย่างตรงไปตรงมาหากรู้สึกว่าเพื่อนร่วมทีมไม่ทุ่มเทให้กับการเล่น)
ซิโก้-เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่เคยร่วมงานกันทั้งในฐานะนักฟุตบอลทีมชาติและโค้ชทีมชาติ เคยกล่าวถึงสินทวีชัยว่า “การมีสินทวีชัยในทีมเหมือนมีคนคอยสื่อสารความต้องการของน้องๆ ในทีมมาถึงเราเวลาขาดเหลืออะไร เวลาน้องๆ มีปัญหาในสนามหรือนอกสนามก็จะได้รับคำปรึกษาที่ดีจากพี่ตี๋เสมอ”
เรียกว่าผู้นำแบบซูเปอร์ตี๋ไม่ต้องพูดเยอะ ‘เจ็บคอ’
มีน้ำใจกับทุกคน
สินทวีชัยเป็นคนมีน้ำใจกับทุกคน โดยเฉพาะกับแฟนฟุตบอล
สมัยที่ค้าแข้งให้กับทีมชลบุรี เอฟซี ทุกครั้งหลังจบเกมในสนาม เขาจะรอแจกลายเซ็นให้แฟนบอลทุกคน จะอยู่เป็นคนสุดท้ายเสมอ และทำให้เขากลายเป็นขวัญใจหมายเลขหนึ่งของทีม ‘ฉลามชล’ ไปโดยปริยาย
บางช่วงที่มีเวลาว่าง เขาจะหาโอกาสไปสอนน้องๆ อย่างจริงจังและจริงใจเสมอ บางครั้งมีคนมาสอบถามหาความรู้บนโซเชียลมีเดีย เขาก็มักจะตอบโดยให้ความรู้และแง่คิดที่ดีเสมอ
กตัญญูและรู้คุณ
มีหลักชีวิตหนึ่งที่สินทวีชัยยึดมั่นตลอดมาและทำให้ชีวิตของเขาเจริญรุ่งเรืองคือเรื่องของความกตัญญู
สินทวีชัยไม่เคยลืมคนที่มีบุญคุณกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ครอบครัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฟนบอลที่เขารักและไม่เคยลืม
เมื่อครั้งที่เขาตัดสินใจอำลาทีมชลบุรี เอฟซี ไปอยู่กับสุพรรณบุรีเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ในเกมแรกที่สินทวีชัยได้กลับมาเยือนถิ่นเก่า เมื่อก้าวเท้าลงจากรถบัสของสโมสร มีแฟนบอลฉลามชลคนหนึ่งตะโกนเรียกหา
แทนที่จะนิ่งเฉยไปตามประสาเหมือนนักฟุตบอลอาชีพในยุโรปที่เมื่อย้ายทีมแล้วก็แล้วกัน แต่เขากลับเดินไปสวมกอดแฟนบอลคนนั้นเพื่อปลอบใจ และยืนยันว่าการตัดสินใจที่จะไปของเขาไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน
มันเป็นเครื่องยืนยันว่าความผูกพันระหว่างเขาและแฟนฟุตบอลคือของจริง ซึ่งก็ไม่ใช่แค่กับแฟนบอลฉลามชล แต่ยังรวมถึงแฟนบอลทีมชาติและแฟนบอลทุกทีมที่เขาลงเล่นรับใช้ให้
ในเกมนัดอำลาสนาม สินทวีชัยได้ใช้โอกาสในการบอกรักและบอกลาแฟนบอลทุกคนด้วยการพูดที่เรียบเรียงมาเป็นอย่างดี (ตามสไตล์ของตี๋ที่เป็นคนพูดจารู้เรื่อง ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นคนเรียบเรียงความคิดได้ดี) และในสิ่งที่เขาอยากจะบอกนั้นก็แสนกินใจ
“อยากจะขอบคุณโค้ช เพื่อนร่วมทีมทุกๆ คนที่เคยร่วมงานกันมา ที่อยากจะขอบคุณมากที่สุดคืออยากจะขอบคุณรุ่นพี่ทีมชาติไทยทุกๆ ท่านที่ได้สร้างเกียรติยศ สร้างผลงานให้กับวงการฟุตบอลไทยมามาก สำหรับเกมเกียรติยศวันนี้เป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม ผมไม่เคยคิดไม่เคยฝันเลยที่ผมจะได้รับเกียรติอันสูงสุดในวันนี้ ทุกอย่างต้องขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่ทำให้มีวันนี้เกิดขึ้น
“ช่วงที่ผ่านมาในเวทีทีมชาติไทย ผมอาจจะไม่ใช่นักฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ ผมอาจจะไม่ใช่นักฟุตบอลที่สร้างชื่อเสียงมากมาย แต่ผมเป็นนักฟุตบอลที่โชคดีที่ได้รับโอกาสมากที่สุดคนหนึ่ง และผมรู้ว่าโอกาสนั้นมีค่ามากแค่ไหนสำหรับนักฟุตบอล ผมจึงไขว่คว้าและรักษามัน และไม่แปลกเลยที่ผมจะปฏิเสธโอกาสนี้ ผมอยากจะขอบคุณแฟนบอลไทยทุกคนนะครับ”
สินทวีชัยบอกกับทุกคนว่าแฟนบอลไทยคือทุกสิ่งทุกอย่างของฟุตบอลไทย ผมรู้ซึ้งถึงความหมายดี นอกเหนือจากคำว่าฟุตบอล
ก่อนที่จะลงสนามเป็นเวลา 14 นาที เท่ากับจำนวนปีที่เขาได้รับใช้ทีมชาติ
โดยระหว่างนั้นเขามีจังหวะการเซฟป้องกันประตูหนึ่งครั้ง
และนั่นคือ The Last Save ของยอดผู้รักษาประตูที่จะอยู่ในใจแฟนฟุตบอลไทยไปแสนนาน
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
อ้างอิง:
- www.thairath.co.th/content/1395036
- www.fourfourtwo.com/th/features/cchnsudthaang-10-aekhngthiihawaicchthangsiihngmiiephiiyngsomsrediiyw?page=0,3
- www.fourfourtwo.com/th/features/suuruntaip-sinthwiichay-ephykhamphuudainhngaetngtawhlangamlaathiimchaatiaithy
- www.fourfourtwo.com/th/features/thuengnng-sinthwiichay-aimtngelnephuuephm-aetelnephuuethiimchaatiaithykhngeraa
- pantip.com/topic/33927309
- คนที่เปลี่ยนชื่อเล่นของโกสินทร์ (สินทวีชัย) จากบอลเป็นตี๋คือ วิฑูรย์ กิจมงคลศักดิ์ อดีตตำนานทีมชาติเจ้าของสมญา ‘สิงโตเผือกแห่งปากน้ำโพ’
- หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาต้องการจะได้รับการคัดเลือกเข้าโครงการช้างเผือกคือการได้ทุนเรียนฟรีในระดับมัธยมและมหาวิทยาลัยเพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว
- รายได้ก้อนแรกของสินทวีชัยในฐานะนักฟุตบอลอาชีพคือเงินเบี้ยเลี้ยงวันละ 10 บาท หรือเดือนละ 300 บาท ซึ่งเขาดีใจมากแล้ว เพราะพอเพียงสำหรับการดำรงชีวิต อย่างน้อยซื้อผงซักฟอก สบู่ และของใช้ได้
- ถึงจะบอกว่าเกมนัดสุดท้ายในการอำลาสนามจะเป็นเกมยิ่งใหญ่ที่สุด แต่หนึ่งในสุดยอดเกมที่เขาเคยลงเล่นคือการนำทีมชาติไทยปะทะ ‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด ที่มีทั้งโรนัลโด (บราซิล), ซีเนดีน ซีดาน, เดวิด เบ็คแฮม และโรแบร์โต คาร์ลอส ลงสนาม และเกมนั้นคือการรับใช้ทีมชาติชุดใหญ่ครั้งแรกของเขาอีกด้วย!
- ในเกมอำลากับตรินิแดดฯ เขาเป็นคนขอเล่นแค่ 14 นาทีเพื่อเปิดทางให้ มิโลวาน ราเยวัช โค้ชของทีม ได้เช็กฟอร์มของ ฉัตรชัย บุตรพรหม ผู้รักษาประตูรุ่นน้องเพื่อเตรียมทีมสำหรับการสู้ศึกซูซูกิคัพในเดือนหน้า
- ในวันที่ประกาศอำลาทีมชาติ (ซึ่งเขาไม่เคยได้บอกหรือส่งสัญญาณมาก่อน) เขาบอกว่า “ผมหวังว่าวันหนึ่งจะมีโอกาสได้ตอบแทนฟุตบอลไทยในบทบาทใด บทบาทหนึ่ง” ซึ่งล่าสุดมีข่าวว่าสินทวีชัยกำลังจะทำงานเพื่อพี่น้องนักฟุตบอลทุกคนในฐานะนายกสมาคมนักฟุตบอลอาชีพแห่งประเทศไทย