วันนี้ (8 กุมภาพันธ์) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวในช่วงต้นของการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติว่า สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในประเทศไทยตั้งแต่ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ทุกฝ่ายทำงานกันอย่างหนัก วางแผนจัดการป้องกันโควิด-19 ไปจนถึงจัดตั้งโรงพยาบาลสนามได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอ
ขณะที่จังหวัดสมุทรสาครได้ดำเนินมาตรการ Bubble and Seal สถานกักกันโรคในโรงงาน (Bubble and Seal Factory Quarantine) เพื่อให้แรงงานต่างด้าวสามารถทำงานและกักตัวในโรงงานได้ หากพบการติดเชื้อก็จะแยกออกมารักษา
อนุทินกล่าวว่าขณะนี้สถานการณ์ของประเทศไทยสามารถควบคุมได้แล้ว หากแยกจังหวัดสมุทรสาครออกมาก็จะเห็นว่าจังหวัดอื่นๆ พบผู้ติดเชื้อน้อยมาก จึงมีการประกาศมาตรการผ่อนคลายตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม หากจำนวนผู้ติดเชื้อลดลง กระทรวงสาธารณสุขจะเสนอมาตรการผ่อนคลายต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ให้มากขึ้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในแต่ละห้วงเวลานั้นๆ ด้วย
อนุทินกล่าวอีกว่าในส่วนของวัคซีนป้องกันโควิด-19 นั้น คาดว่าภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้จะมีวัคซีนทยอยเข้ามาจาก 2 แห่งคือ Sinovac ประเทศจีน และวัคซีนจาก AstraZeneca โดยช่วงต้นที่เข้ามาก่อนจะมาจาก Sinovac ที่ไทยได้สั่งซื้อไปจำนวน 2 ล้านโดส ออกใบสั่งซื้อผ่านองค์การเภสัชกรรมไปแล้ว อย่างไรก็ตาม วัคซีนจาก AstraZeneca ที่จะผลิตในไทยจำนวน 26 ล้านโดส ขณะนี้ได้รับการยืนยันอีก 35 ล้านโดส รวมเป็น 61 ล้านโดส
“วัคซีนทั้งหมด 63 ล้านโดสในปีนี้ถือว่าเพียงพอ ครอบคลุมประชากร รวมถึงอยู่ในความสามารถให้บริการวัคซีนที่จัดการได้ รัฐบาลมีนโยบายว่าวัคซีนจะต้องปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ครอบคลุม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และจะต้องฉีดให้กับทุกคนที่มีความเสี่ยงแพร่เชื้อ ไม่ใช่เฉพาะคนไทย ฉะนั้นวัคซีนจะต้องครอบคลุมทุกคนที่พำนักในประเทศไทย” อนุทินกล่าวในที่สุด
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
