บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประกาศรายได้รวมจำนวน 6,843 ล้านบาท และรายงานกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นประจำจากการดำเนินงานปกติ (Adjusted EBITDA) ที่ 1,493 ล้านบาท พุ่งขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ประกอบด้วย 1. ยอดโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการพักอาศัยสะสม 6 เดือน จำนวน 1,172 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากการเปิดตัว ลาซัวว์ เดอ เอส โครงการ Cluster Home ระดับอัลตราลักชัวรี ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่และถือเป็นโครงการแฟลกชิปของสิงห์ เอสเตท ด้วยสถิติราคาขายสูงสุดถึงกว่า 550 ล้านบาทต่อหลัง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ทำให้สามารถรับรู้ยอดโอนได้ทันทีภายหลังการเปิดตัวในไตรมาส 2 ที่ผ่านมานี้
ยังมีรายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรม จำนวน 36 ล้านบาท และการรับรู้ค่าเช่าของโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ ตามสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาวจำนวน 175 ล้านบาท ทั้งนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจาทำสัญญากับผู้เช่ารายอื่นเพื่อกระตุ้นให้เกิดการปล่อยเช่าระยะยาว เพื่อรักษาระดับอัตราการปล่อยเช่าให้ผันผวนต่ำ ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันที่รุนแรงจากอุปทานพื้นที่เช่าที่ทยอยเพิ่มมากขึ้นในอนาคต
สำหรับรายได้จากการให้บริการของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีสาเหตุสำคัญมาจากรายได้ของธุรกิจโรงแรมที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ 4,821 ล้านบาท เนื่องจากการท่องเที่ยวทั่วโลกขยายตัวดีตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา สอดคล้องกับการเปิดประเทศทั่วโลก จากจุดแข็งด้านทำเลที่ตั้งของโรงแรมของ SHR ที่อยู่ในจุดหมายปลายทางอันดับต้นๆ ของการท่องเที่ยว
ส่งผลต่อการเติบโตของอัตราการเข้าพักเฉลี่ย (Occupancy Rate) ของทั้งพอร์ตโฟลิโอที่ปรับสูงขึ้นถึงประมาณ 70% ในครึ่งปีแรกของปี 2566 ด้วยอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ที่เพิ่มขึ้นถึงมากกว่า 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อน
อย่างไรก็ตามรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีแรกจำนวน 508 ล้านบาท ค่อนข้างทรงตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง จากการทยอยรับรู้รายได้ภายหลังการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ของอาคารเอส โอเอซิส (S-OASIS) ซึ่งมีพื้นที่เช่ามากกว่า 53,000 ตารางเมตร
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานี้ ถือเป็นช่วงที่กำลังสร้างความพร้อมเพื่อต่อยอดความสำเร็จในอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งเราคงจะได้เริ่มเห็นผลชัดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 อันประกอบไปด้วย
- การพัฒนาโครงการที่พักอาศัยจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท
- การปรับปรุงโรงแรม หรือ Major Renovation ของโรงแรมที่เป็นสินทรัพย์ศักยภาพของพอร์ตโฟลิโอของ SHR ได้แก่ โรงแรม Outrigger Fiji Beach Resort, โรงแรมทราย ลากูน่า ภูเก็ต, โรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ และโรงแรมบางส่วนในสหราชอาณาจักรตามกลยุทธ์ Asset Rotation เพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างผลกำไรที่มีประสิทธิภาพ
- การปรับกลยุทธ์การหาผู้เช่าในกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน
- การควบคุมแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าและพัฒนาที่ดินนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ‘เอส อ่างทอง’ เพื่อให้แผนการขายเป็นไปตามโรดแมปที่บริษัทฯ วางไว้รองรับดีมานด์ Eco Factory & Green Industry สำหรับเทรนการลงทุนในอนาคต