ลีเซียนลุง นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ให้สัมภาษณ์กับรายการโทรทัศน์ของ BBC เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในหลายมิติ โดยการสัมภาษณ์นี้จะออกอากาศครั้งแรกในช่วงสุดสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึง
ลีระบุว่า การกระทบกระทั่งระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ดูมีแนวโน้มมากกว่าเมื่อเทียบกับ 5 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตาม เขายืนยันว่าโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งทางทหารนั้น ‘ยังมีไม่สูง’ และกล่าวด้วยว่าหากทั้งสองชาติยังคงรับมือกับประเด็นนี้อย่างเข้มงวดต่อไป อันเนื่องจากการให้ความสำคัญกับประเทศของตนเอง อาจทำให้ทั้งสองชาติพบกับทางตันได้อย่างง่ายดาย
นายกฯ สิงคโปร์ยังมีท่าทีไม่ค่อยสะดวกใจในการให้คำแนะนำแก่จีน แต่ระบุว่าทิศทางทางการเมืองของจีนได้จุดชนวนให้เกิดความตึงเครียดกับชาติต่างๆ ทั้งใหญ่และเล็ก “มีความไม่แน่นอนอย่างมาก (และ) ความวิตกกังวลว่าจีนจะไปทางใด และจะดีต่อพวกเขาหรือไม่” เขาระบุ และกล่าวว่าเขาเชื่อว่าสิ่งนี้ไม่อยู่ในความสนใจของจีน
ทั้งนี้ รัฐบาลของโจ ไบเดน จะจัดการพูดคุยระดับสูงครั้งแรกกับเจ้าหน้าที่ทางการจีนที่รัฐอะแลสกาในสัปดาห์หน้า
ส่วนกรณีสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ยังไม่มีข้อบ่งชี้ว่าโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะใช้วิธีการที่นุ่มนวลขึ้นกับจีนนั้น ลีกล่าวว่า เขาหวังว่าผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่จะเป็นคนที่ ‘เชื่อในระบบพหุภาคีและการค้าระหว่างประเทศ’ เขายังกล่าวถึงความพยายามแย่งชิงการเป็นมหาอำนาจของโลกระหว่างทั้งสองชาติโดยบอกว่า สหรัฐฯ ยังคงเป็นอันดับหนึ่ง แต่หมายเลขสองซึ่งเขาหมายถึงจีนนั้นก็อยู่ห่างไปไม่ไกลนัก และนี่เองเป็นสิ่งที่สหรัฐฯ ยากที่จะยอมรับได้
บางประมาณการชี้ว่า เศรษฐกิจจีนมีกำหนดจะแซงหน้าสหรัฐฯ ขึ้นเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกภายในปี 2571 ซึ่งเร็วกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ 5 ปี การเติบโตทางเศรษฐกิจที่โดดเด่นของจีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นมาพร้อมกับท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้นทั้งภายในและภายนอกประเทศภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ซึ่งทำให้เกิดเสียงตำหนิการกระทำของจีนจากชาติตะวันตกและความกังวลจากหุ้นส่วนของจีนในเอเชียบางชาติ ทว่า ลีระบุว่าสิงคโปร์ไม่สามารถที่จะเข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้
“มันเป็นปัญหาสำหรับหลายๆ ประเทศ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเราทุกคนต่างหวังและสนับสนุนให้ทั้งสองมหาอำนาจคิดอย่างรอบคอบ ก่อนที่จะตัดสินว่าอีกฝ่ายเป็นปฏิปักษ์ที่ต้องป้องกันไม่ให้เติบโตหากไม่หยุดเอาไว้” เขากล่าว
“สิ่งที่เราอยากเห็นคือจีนเป็นประเทศที่ประเทศอื่นๆ ในโลกยินดีต่อความเจริญ การพัฒนา และความเข้มแข็งที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งประเทศอื่นๆ เหล่านั้นมองว่านี่เป็นโอกาสที่พวกเขาจะเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน และอยู่ในโลกที่มั่นคงด้วยกัน”
ความเสื่อมถอยในความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ และจีนกำลังเกิดขึ้นท่ามกลางฉากหลังอย่างโรคระบาดและปฏิกิริยาต่อต้านโลกาภิวัตน์ ซึ่งโลกาภิวัตน์นี้เองที่เป็นแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่ช่วยให้สิงคโปร์กลายมาเป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในเอเชีย ลีเชื่อว่าโลกาภิวัตน์ยังคงมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์อยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อจำเป็นต้องร่วมมือกันในเรื่องวัคซีน
“คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ เพราะการกลับไปยังจุดที่เคยอยู่ในอดีต…มีแต่ความยากจน ความสิ้นหวัง และอาจจะเป็นความไม่มั่นคง รวมถึงความขัดแย้ง” ลีระบุ
เขายังกล่าวถึงหนึ่งในประเด็นที่มีความสำคัญต่อสิงคโปร์ในขณะนี้ นั่นคือการเปิดประเทศ และหาทางดึงดูดนักท่องเที่ยวกลับมาสู่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นชาติที่พึ่งพาการค้าและการท่องเที่ยว ลีกล่าวว่าวัคซีนพาสปอร์ตอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการดังกล่าว แต่ก็ย้ำเตือนว่าคงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่การท่องเที่ยวระหว่างประเทศจะกลับคืนสู่ระดับก่อนการระบาดของโควิด-19
“มันจะไม่เหมือนเมื่อก่อนที่คุณสามารถแค่ซื้อตั๋ว ขึ้นเครื่องบิน แล้วออกไปฮ่องกง กรุงเทพฯ หรือบาหลีในช่วงสุดสัปดาห์หรือวันหยุดสบายๆ” เขากล่าว และแสดงความหวังว่าประตูการท่องเที่ยวน่าจะเปิดขึ้นภายในสิ้นปีนี้หรือภายในปีหน้า หากไม่สามารถเร็วกว่านี้ได้
ภาพ: Suhaimi Abdullah / Getty Images
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง: