ท่ามกลางความท้าทายของสถานการณ์โลก ณ ปัจจุบัน ทั้งสงคราม ความขัดแย้ง การแข่งขันทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลอดจนวิกฤตที่ก่อให้เกิดความไม่แน่นอนอีกมากมาย หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั่วโลกใช้เพื่อรับมือกับสถานการณ์เหล่านี้ คือ ‘นโยบายการต่างประเทศ (Foreign Policy)’ หรือนโยบายทางการทูต ซึ่งมีผลสำคัญในพาประเทศผ่านพ้นวิกฤต
สำหรับประเทศไทย ที่การเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่กำลังจะเกิดขึ้นในต้นปีหน้า นโยบายการต่างประเทศเป็นหนึ่งในนโยบายที่ประชาชนให้ความสนใจอย่างยิ่ง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนึ่งในบุคคลที่ถูกจับจ้องมากที่สุด จากผลงานด้านการต่างประเทศในช่วง 4 เดือนของรัฐบาลชุดปัจจุบัน คือสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ตอนนี้กลายมาเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีหมายเลข 2 ของพรรคภูมิใจไทย นอกจากอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน
ผลงานด้านการต่างประเทศของเขาในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้คนในประเทศ แต่อาจจะยังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ได้ว่าแนวนโยบายต่างประเทศของเขา จะพาประเทศไทยไปได้ไกลแค่ไหน และคำประกาศเรื่องการ ‘พาไทยกลับสู่จอเรดาร์โลก’ ที่เขาพูดถึงอยู่บ่อยครั้งนั้น จะทำได้จริงหรือไม่
ในการแถลงนโยบายของพรรคภูมิใจไทยที่จัดขึ้นวานนี้ สีหศักดิ์ ขึ้นเวทีโชว์วิสัยทัศน์ด้านการต่างประเทศของตนเอง ซึ่งมีเป้าหมายใหญ่ที่น่าสนใจคือการพาประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤตความขัดแย้งภายใน 4 ปี หากได้กลับมาทำหน้าที่ในรัฐบาล
และนี่คือรายละเอียดทั้งหมดจากวิสัยทัศน์ของชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ลูกหม้อ’ ตัวจริงของกระทรวงการต่างประเทศ ที่เคยเป็นทั้งเอกอัครราชทูต อธิบดีกรมสารนิเทศและปลัดกระทรวงต่างประเทศ
การต่างประเทศที่เข้มแข็งคือเครื่องมือพาประเทศพ้นวิกฤต
สีหศักดิ์ เริ่มต้นการแถลงนโยบาย ด้วยการยอมรับความจริงว่า การรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศของตน เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ตึงเครียดและท้าทาย ซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาปกติของการบริหารประเทศ หากแต่เป็นช่วงที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชา กำลังเผชิญแรงกดดันจากความขัดแย้งที่รุนแรง และบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ
เขายืนยันว่าเหตุที่ตัดสินใจเข้ากุมบังเหียนกระทรวงฯ ไม่ใช่เรื่องของตำแหน่งหรืออำนาจ แต่เป็นความตั้งใจที่อยากจะทำงาน โดยมีความเชื่อว่า “การต่างประเทศที่เข้มแข็งจะนำพาประเทศไทยให้พ้นวิกฤต นำพาไทยไปสู่ความมั่นคง และจะะนำความกินดีอยู่ดี ความก้าวหน้ามาสู่ประชาชนชาวไทย”
ในประเด็นกัมพูชานั้น สีหศักดิ์ มั่นใจว่านโยบายต่างประเทศภายใต้การนำของเขาต่อปัญหาความขัดแย้ง ไทย-กัมพูชา ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนที่รับตำแหน่ง ยังคงเดินไปอย่าง ‘ถูกทาง’ ซึ่งสิ่งสำคัญคือไทยมีผู้นำที่เข้มแข็ง อีกทั้งยังมีเอกภาพระหว่างทหารกับฝ่ายการทูต ที่ทำงานร่วมกัน และพูดเป็นเสียงเดียวกัน ทำให้มีเอกภาพในการปกป้องคุ้มครองอธิปไตยและศักดิ์ศรีของประเทศไทย
4 ปีพาไทยพ้นวิกฤตขัดแย้ง ยืนแถวหน้าประชาคมโลก
หนึ่งใน Key Takeaway ที่โดดเด่นจากถ้อยแถลงของสีหศักดิ์ คือการตั้งเป้าหมายด้านการต่างประเทศในอีก 4 ปีข้างหน้า ให้ไทยก้าวพ้นจากวิกฤตความขัดแย้ง ณ ปัจจุบัน และหวังว่าการต่างประเทศของไทยในอีก 4 ปีข้างหน้า จะเป็นการสร้างโอกาสให้กับประเทศและประชาชนชาวไทย ทำให้ไทยได้กลับสู่แถวหน้าของประชาคมโลก และมีบทบาทนำในเวทีระหว่างประเทศ ยืนอยู่ในเวทีโลกได้อย่างมีเกียรติภูมิ และมีศักดิ์ศรี
เขาชี้ว่า “การต่างประเทศต้องเป็นการต่างประเทศที่ทันต่อโลก ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก และที่สำคัญคือการต่างประเทศที่เข้าถึงประชาชน”
“ทุกท่านคงรู้สึกว่าการต่างประเทศไม่ใช่เรื่องไกลตัว ความเป็นอยู่ของท่าน ความเป็นไปในประเทศของเรา ล้วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในภูมิภาค และแม้กระทั่งสถานการณ์ที่อยู่ห่างไกล” เขากล่าว และเชื่อว่า ประชาชนทุกคนมีความคาดหวังต่อนโยบายการต่างประเทศ ว่าจะนำพาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง และความเจริญก้าวหน้า
สร้างสมดุล ‘จัดการปัญหาเฉพาะหน้า’ กับ ‘ยุทธศาสตร์ระยะยาว’
สีหศักดิ์ ชี้ว่าการดำเนินนโยบายต่างประเทศนั้นต้องไม่อยู่ในอุดมคติ โดยต้องมียุทธศาสตร์ระยะยาว แต่ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาสมดุลในการจัดการกับประเด็นปัญหาเฉพาะหน้า เช่น เรื่องความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน ไทยต้องก้าวพ้นความขัดแย้งกับกัมพูชา และต้องส่งเสริมให้เมียนมามีเสถียรภาพ มีกระบวนการกลับไปสู่สันติภาพ
“สิ่งที่เราต้องการคือชายแดนที่มั่นคง ชายแดนที่เชื่อมโยง และปราศจากอาชญากรรม โดยเฉพาะยาเสพติดและขบวนการหลอกลวงออนไลน์”
เขามองว่า “หากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความก้าวหน้า ก็เป็นโอกาสของประเทศไทย ทั้งด้านการค้า การลงทุน และถ้าภูมิภาคมีสันติภาพ นักลงทุนต่างชาติก็อยากเข้ามาลงทุนในประเทศไทย”
บาลานซ์สัมพันธ์โลกหลายขั้วอำนาจ
ในระดับโลก สีหศักดิ์วิเคราะห์ว่าระบบระหว่างประเทศกำลังเคลื่อนไปสู่โลกหลายขั้วอำนาจ ที่มีการแข่งขันเข้มข้นขึ้นทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และซัพพลายเชน
ท่ามกลางโลกที่ไร้ระเบียบมากขึ้น เขาเสนอท่าทีของไทยว่า “ต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกขั้วอำนาจ” โดยไม่เลือกข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้าง “ภูมิต้านทาน” ของประเทศผ่านการทูตทุกมิติ ซึ่งอาเซียน คือพลังทางการทูตที่สำคัญในการสร้างภูมิต้านทานท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ
“โลกจะมีการแข่งขันสูงขึ้น ทั้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และซัพพลายเชน โลกจะไร้ระเบียบมากขึ้น เราจึงต้องสร้างภูมิต้านทานของเราเอง การทูตของเราจึงต้องเป็นการทูตทุกมิติ ทั้งความมั่นคง การเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ผลประโยชน์ของเราอยู่ที่ไหน เราต้องไปที่นั่น อาเซียนคือพลังทางการทูตของเรา ช่วยสร้างภูมิต้านทานท่ามกลางการแข่งขันของมหาอำนาจ”
การต่างประเทศที่ดี เริ่มต้นจากภายในประเทศ
สีหศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย โดยเชื่อมั่นว่า “การดำเนินนโยบายการต่างประเทศที่ดี ต้องเริ่มต้นจากภายในประเทศ (Foreign Policy Begins at Home)”
เขามองว่า การต่างประเทศนั้นไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงเดียว แต่ต้องทำงานร่วมกันกับทุกภาคส่วน รวมถึงภาคเอกชน ซึ่งการทำงานแบบ ‘ทีมไทยแลนด์’ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในมิติของการทูตเศรษฐกิจ ซึ่งถูกยกให้เป็นภารกิจหลักของสถานทูตและสถานกงสุลไทยทั่วโลก
“โจทย์ของประเทศในวันนี้คือการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นเราจะเดินหน้านโยบายการทูตเศรษฐกิจ สถานทูตและสถานกงสุลไทยทั่วโลกต้องทำงานเชิงรุก มีเป้าหมายชัดเจน ‘Walk the Talk’ เข้าหา เข้าถึง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประเทศ”
เขากล่าวทิ้งท้าย โดยเชื่อมั่นว่า “การต่างประเทศในสังคมประชาธิปไตย ประชาชนต้องมีส่วนรับรู้ มีส่วนร่วม ต้องเป็นนโยบายที่ตรวจสอบได้ โปร่งใส และได้รับการสนับสนุนจากประชาชน”
“เป้าหมายของยุทธศาสตร์การต่างประเทศของเราคือ ทำให้ประเทศไทยอยู่ในเวทีโลกอย่างมีเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี และผลักดันผลประโยชน์ของชาติทุกด้าน เพื่อให้ไทยอยู่ในแนวหน้าของประชาคมโลก”


