วันนี้ (5 ธันวาคม) จากกรณีมีรายงานข่าวว่า เชาวลิต ทองด้วง หรือ เสี่ยแป้ง นาโหนด จำเลยต้องโทษคำพิพากษาของศาลจังหวัดพัทลุง ก่อเหตุหลบหนีระหว่างการควบคุมขัง ขึ้นไปเทือกเขาบรรทัด จนล่าสุดปรากฏข้อมูลว่าได้ลงเรือสปีดโบ๊ตที่บริเวณท่าเรือในท้องที่บ้านบากันโต๊ะทิด อำเภอละงู จังหวัดสตูล เพื่อหลบหนีไปประเทศอินโดนีเซีย
ด้าน ประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้อธิบายข้อกฎหมายเกี่ยวกับการติดตามตัวผู้ร้ายข้ามแดนไว้ว่า ขั้นตอนการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษ หรือกลับมาเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีในประเทศไทย จะมีการส่งคำขอให้ประเทศที่รับคำขอหรือประเทศที่คนร้ายเข้าไปหลบอยู่
โดยเริ่มต้นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ในการติดตามจับกุมตัวคนร้าย จะต้องสืบสวนประสานงานตำรวจสากลให้ทราบแน่ชัดก่อนว่าคนร้ายหลบไปพำนักที่ใด
ต่อมาเมื่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบพิกัดแน่ชัดแล้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็จะส่งเรื่องมายังสำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะที่อัยการสูงสุดเป็นผู้ประสานงานกลางตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดน
ทั้งนี้คำว่าผู้ประสานงานกลาง ประยุทธอธิบายว่า กฎหมายกำหนดให้อัยการสูงสุดแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยที่จะส่งคำขอจากประเทศไทยไปยังประเทศที่คนร้ายหลบหนีอยู่
ประยุทธกล่าวต่อว่า หากเชาวลิตหลบหนีอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียจริงส่วนนี้เรามีสนธิสัญญาระหว่างกัน มีแนวปฏิบัติชัดเจนตามหลักเกณฑ์ โดยสนธิสัญญาทำไว้ตั้งแต่วันที่ 29 มิถุนายน 2519 ฉะนั้นหากสำนักงานตำรวจแห่งชาติสืบทราบแน่ชัด ทางสำนักงานอัยการสูงสุด ซึ่งมีสำนักงานต่างประเทศผ่านการทำงานด้านนี้มาหลายคดีก็ให้ความมั่นใจได้ว่าบริหารจัดการต่อได้
ในส่วนความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับอินโดนีเซียถือว่ามีความสนิทสนมและมีความร่วมมือประสานงานกันอย่างดีมาเป็นเวลายาวนาน มีหลายหลักสูตรของสำนักงานอัยการสูงสุดที่ทางอัยการอินโดนีเซียส่งพนักงานอัยการมาเรียนร่วมกันกับทางอัยการไทย
ประยุทธกล่าวว่า ส่วนประเทศมาเลเซียหรือลังกาวี ประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียมีสนธิสัญญาระหว่างกันตั้งแต่สมัยเป็นราชอาณาจักรสยาม ขั้นตอนการดำเนินการก็ไม่ต่างกับอินโดนีเซีย ซึ่งลังกาวีก็เป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซีย ถ้าเชาวลิตหนีไปอยู่ลังกาวีก็เท่ากับว่าอยู่ในประเทศมาเลเซีย
ส่วนกรณีคนร้ายหนีไปในประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็จะมีวิธีคือ ใช้ช่องทางทางการทูต ซึ่งมีแนวทางในการปฏิบัติที่เป็นสากลอยู่แล้ว
ประยุทธระบุว่า กรณีคนร้ายหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศไม่ว่าคนร้ายจะอยู่ในประเทศที่มีสนธิสัญญากับเราหรือไม่มีสนธิสัญญา เพียงสำนักงานตำรวจแห่งชาติชี้พิกัดว่าอยู่ที่ไหนได้แน่ชัด และแจ้งมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด เราก็สามารถดำเนินการต่อได้ทันที