วันนี้ (19 กันยายน) ที่พระที่นั่งอิศราวินิจฉัย พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม พร้อมด้วย เสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวภายหลังองค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียน ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ เป็นมรดกโลก
พล.ต.อ. พัชรวาท กล่าวว่า การที่ยูเนสโกประกาศให้เมืองโบราณศรีเทพขึ้นเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 4 นี้ ถือว่าเป็นการสร้างภาพลักษณ์ของประเทศไทยต่อชาวโลก และประเทศไทยมีมรดกทางวัฒนธรรมที่ชาวต่างชาติให้การยอมรับ พร้อมยืนยันว่าจะมีการประกาศพื้นที่มรดกโลกเพิ่มขึ้นในปีต่อๆ ไปอีก เช่น ถ้ำผามอง ซึ่งอยู่ระหว่างการนำเสนอเอกสาร
ขณะที่เสริมศักดิ์กล่าวว่า ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ และเป็นเรื่องที่ประชาชนทั้งประเทศมีความยินดีเป็นที่สุด เนื่องจากได้รับการยอมรับในระดับโลก ซึ่งอาจนำไปสู่การสร้างงาน สร้างอาชีพ แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของจังหวัดเพชรบูรณ์ด้วย รวมถึงเป็นการผลักดัน 1 ตำบล 1 ซอฟต์พาวเวอร์ด้วย
เสริมศักดิ์ยังกล่าวอีกว่า คณะทำงานที่เสนอเรื่องเข้าไป มีการเตรียมการอย่างดี นอกจากการเตรียมเอกสารแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นๆ ด้วย จึงมีความมั่นใจว่าการประชุมในครั้งนี้จะทำให้ประเทศไทยได้ขึ้นมรดกโลกอย่างแน่นอน เนื่องจากมีการผ่านหลักเกณฑ์ทุกข้อ โดยหลังจากนี้กรมศิลปากรจะเข้าสู่กระบวนการอนุรักษ์และพัฒนา รวมถึงส่งเสริมในเรื่องของการท่องเที่ยว และมอบหมายให้หน่วยงานท้องถิ่น ประชาชนในพื้นที่เป็นผู้ดูแลต่อยอดต่อไป
“ขณะนี้เมืองศรีเทพมีผู้เข้าไม่เกิน 1,000 คน ภายหลังจากมีการกระจายข่าวว่าจะมีการได้รับขึ้นเป็นมรดกโลกครั้งนี้ มีจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น โดยจังหวัดเพชรบูรณ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ ต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 1 เดือน ให้สมกับการได้รับรางวัลระดับโลก” เสริมศักดิ์กล่าว
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ความสำเร็จครั้งนี้ถือเป็นความสำเร็จของรัฐบาลหรือไม่ เสริมศักดิ์กล่าวว่า ถือว่าเป็นผลงานส่วนหนึ่งของรัฐบาล คงจะมีงานอื่นๆ อีกบ้าง แต่ในส่วนของกระทรวงวัฒนธรรม ถือเป็นงานที่เราภูมิใจที่สุด ในฐานะรัฐมนตรีว่าการฯ ถือเป็นผลงานชิ้นโบแดง จากพื้นที่ศรีเทพไปสู่ระดับนานาชาติ
เสริมศักดิ์กล่าวว่า เรายังมีนโยบายในการที่จะสร้างทักษะใน 10 อุตสาหกรรม ให้ประชาชนมีพื้นที่ในการทำงาน ในเมื่อเรามีเมืองมรดกโลก ก็ถือว่าเป็นซอฟต์พาวเวอร์ คาดว่าคงมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเยี่ยมชม 2,000-3,000 คน ซึ่งจะส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยว และก่อให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพในที่สุด รวมถึงในเวลาอันใกล้นี้ ก็เล็งที่จะเสนอพื้นที่ทางวัฒนธรรมในจังหวัดอุดรธานีและจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกต่อไป
