×

บทสรุป 19 ปี จากโอนหุ้น 1 บาท ที่สุดท้ายกลายมาเสียภาษี 17,600 ล้านบาท

18.11.2025
  • LOADING...
บทสรุป 19 ปี จาก โอน หุ้น 1 บาท ที่สุดท้ายกลายมา เสีย ภาษี 17,600 ล้านบาท

จุดเริ่มต้นในปี 2549 ดีลขายหุ้นชินคอร์ปที่ทั้งประเทศถามว่า ทำไมไม่เสียภาษีแม้แต่บาทเดียว? สู่การเสียภาษีกว่า 17,600 ล้านบาท ลองย้อนเวลาไปดูเหตุการณ์ทั้งหมดกันครับ

 

จุดเริ่มต้นจากการโอนหุ้น 1 บาท บริษัท Ample Rich (จัดตั้งที่ BVI) โอนขายหุ้นชินคอร์ปให้บุคคล 2 คน คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางสาวพินทองทา ชินวัตร ในราคาต่อหุ้น 1 บาท จำนวน 329.2 ล้านหุ้น ขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่ 49.25 บาท/หุ้น คำถามคือทำแบบนั้นเพื่ออะไร? คำตอบอยู่ในวันที่ 23 มกราคม 2549

 

23 มกราคม 2549 หุ้นที่ทั้ง 2 คนได้รับมาจาก Ample Rich ถูกขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ในราคา 49.25 บาท กรณีทั้งหมดนี้ได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ เพราะการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีบุคคลธรรมดาตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ข้อ 2(23) เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดคำถามตามมามากมาย จนทางกรมสรรพากรต้องออกแถลงข่าวยืนยัน

 

กรมสรรพากรยืนยันว่าได้รับยกเว้นภาษีโดยมีเนื้อหาที่สำคัญ สรุปได้ตามนี้
1. บุคคลธรรมดาซื้อต่ำกว่าตลาดไม่ถือเป็นเงินได้ของบุคคลธรรมดา

 

2. ส่วนการจ่ายเงินค่าหุ้นให้บริษัทในต่างประเทศถ้าเงินที่จ่ายให้นั้นไม่เกินกว่าเงินทุนที่บริษัทขาย ก็ไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายตามมาตรา 70 และการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ว่าจะได้หุ้นนั้นมาในกรณีใดก็ตามก็จะได้รับยกเว้นภาษีเงินได้ตามปกติ อ้างอิงได้ตามเลข ปชส. 10/2549 และ 13/2549 แน่นอนว่ามีการโต้แย้งตามมาอีกมาก และเป็นประเด็นการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย

 

ทำให้หลังจากนั้นเราได้เห็นอะไรหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือการประเมินภาษีของสรรพากร

 

ปี 2550 – 2553 ประเมินภาษีครั้งแรก โดยตอนแรก สรรพากรประเมินภาษีไปที่บุตร 2 คน กรณีการขายหุ้นดังกล่าวแต่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาว่า การประเมินภาษีแบบนี้ถือว่าไม่ถูกต้องเพราะที่จริงหุ้นเป็นของเจ้าของที่แท้จริงคือ นายทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่บุตรทั้ง 2 คน จึงต้องประเมินให้ถูกคน และถูกกรอบของกฎหมายผลของคำพิพากษานี้ ทำให้การประเมินภาษีต่อบุตรทั้งสองถูก ‘เพิกถอน’ ไปในที่สุด

 

แต่เรื่องยังไม่จบแค่นี้เพราะเมื่อรู้ว่าภาระภาษีที่แท้จริงนั้นต้องเป็นของตัวการ ไม่ใช่ตัวแทนทำให้เกิดการประเมินภาษีอีกครั้งก่อนหมดอายุความเพียง 3 วัน

 

28 มีนาคม 2560 ก่อนหมดอายุความ 3 วัน สรรพากรส่งหนังสือประเมินภาษีไปที่ตัวการนั่นคือ นายทักษิณ ชินวัตร เรียกเก็บภาษีจำนวน 17,600 ล้านบาท แต่การประเมินดังกล่าวได้นำไปสู่การต่อสู้ทางกฎหมายที่ยาวนาน ตั้งแต่ปี 2560 จนถึงวันนี้
การต่อสู้ที่ผ่านมาทั้งสองศาลทั้งศาลภาษีอากรกลาง (2565) และศาลอุทธรณ์ (2566) ยกฟ้อง เนื่องจากขั้นตอนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย นั่นคือ ไม่ได้ออกหมายเรียกตรวจสอบ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งต้องออกภายใน 5 ปีตามกฎหมาย ไม่ใช่มาประเมินในปีที่ 10 โดยไม่มีหมายเรียก

 

ตอนแรกเรื่องเหมือนจะจบแค่นี้ แต่ต่อมากรมสรรพากรยื่นฎีกาต่อศาลฎีกา

 

จนมาถึงวันนี้ 17 พฤศจิกายน 2568 ศาลฎีกาพิพากษา ‘กลับ’ ให้การประเมินภาษีมีผลบังคับใช้ตามกฎหมาย นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่น่าสนใจในหลายประเด็น

 

1. เป็นเจตนาการปกปิดการถือหุ้น โดยใช้บุตรและบุคคลอื่นเป็น ‘นอมินี’ ถือหุ้นแทน

 

2. ไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจรองรับนอกเหนือจากการหาประโยชน์อื่น รวมถึงประโยชน์ทางภาษี

 

3.ขาดคุณธรรมทางภาษีและไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายภาษีอากร

 

4. ธุรกรรมทั้งหมดนี้ถือว่ามิชอบด้วยกฎหมายอย่างร้ายแรง ดังนั้นจึงให้กรมสรรพากรประเมินภาษีตามเดิม และไม่มีเหตุงดและลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม

 

ในมุมของคนทำงานด้านภาษี ผมเห็นความน่าสนใจของการพลิกคำตัดสิน เรามองเห็นอะไรจากเรื่องนี้บ้าง ?

 

1. เรื่อง ‘เจตนา’ มากกว่า ‘รูปแบบ’ กฎหมายภาษีควรให้ความสำคัญกับ ‘ความจริงทางเศรษฐกิจ’ มากกว่าเอกสารธุรกรรม

 

2. การที่ศาลไม่เชื่อว่าการโอนหุ้น 1 บาท มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ (หรือมีประโยชน์ใดๆ) เมื่อไม่มีเหตุผลทางเศรษฐกิจ แปลว่าเป็นธุรกรรมเพื่อประโยชน์ทางภาษี

 

3. ขาดคุณธรรมทางภาษี คำนี้ได้ยินครั้งแรก แต่ก็น่าสนใจว่าจะถูกใช้เป็นบรรทัดฐานได้อย่างไรต่อไป เพราะคำว่า คุณธรรม สามารถจะวัดผลในแง่ไหนได้บ้าง

 

สิ่งนี้คงต้องติดตามดูกันต่อไปในอนาคต แต่ก็ต้องยอมรับว่าคำตัดสินนี้ทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง

 

ทั้งหมดนี้คือ ‘บันทึกความเข้าใจ’ จากมุมมองของคนทำงานสายภาษีคนหนึ่ง ไม่ได้เขียนเพื่อบอกว่าคำตัดสิน ‘ถูก’ หรือ ‘ผิด’ ทางการเมือง แต่เพื่อชี้ให้เห็นว่า… ครั้งหนึ่ง ประเทศไทยเคยมีดีลขายหุ้น 73,000 ล้านบาท ที่ไม่เสียภาษีเลยแม้แต่บาทเดียว และอีกเกือบ 20 ปีต่อมา ดีลเดียวกันนี้ ถูกประเมินภาษีกลับมาที่ 17,600 ล้านบาท คดีนี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘คนๆ เดียว’ แต่มันคือกรณีศึกษาว่าการต่อสู้ทางกฎหมาย และมันเปลี่ยนได้ตาม ‘ความคิด’ ของคน

 

ภาพ: cemagraphics/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising