แม้ว่าความจริงจะเป็นเพียงการพ่ายแพ้ครั้งที่ 2 ของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเกมพรีเมียร์ลีกนับตั้งแต่ ราล์ฟ รังนิก เข้ามาคุมทีม แต่ดูเหมือนภาพที่ออกมาหลังจบเกม ‘แมนเชสเตอร์ ดาร์บี’ ต้องบอกว่าทีมของ ราล์ฟ รังนิก แทบไม่เหลือ ‘สภาพ’
ตัวเลขบนสกอร์บอร์ดอยู่ที่ 4-1 และชัยชนะสำหรับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่มันมีโอกาสที่ตัวเลขนั้นจะขยับไปไกลยิ่งกว่านั้นมากหากว่าลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา จะตั้งใจฆ่าแกงกันกลางสนามจริงๆ
และนี่เป็นอีกครั้งที่ทุกคนกลับไปตั้งคำถามกับแมนฯ ยูไนเต็ด – สโมสรที่ครองแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ 20 สมัย – ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?
ตกลงแล้วที่พยายามแก้ปัญหากันมามันได้อะไรกลับมาบ้างไหม?
หนึ่งในเสียงสะท้อนที่ชวนสะท้อนใจที่ฟังแล้ว ‘สะกิด’ มากเป็นพิเศษคือความเห็นของ ปีเตอร์ ชไมเคิล ยักษ์เดนส์ผู้เป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโอลด์แทรฟฟอร์ด (และเคยเล่นให้กับแมนฯ ซิตี้ ในช่วงสั้นๆ ด้วยเช่นกัน แต่แน่นอนว่าซิตี้ยุคนั้นต่างจากยุคนี้มาก)
ชไมเคิลให้ความเห็นในรายการวิทยุ BBC Radio 5 Live เอาไว้ว่า “ผมคิดว่า (ราล์ฟ) รังนิกคงจะพยายามเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในช่วงพักครึ่ง เขาอาจจะพูดอะไรไปบ้าง แต่ครึ่งหลังมันกลับเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม”
ก่อนที่จะต้องขีดเส้นใต้กับประโยคนี้ว่า “ชัดเจนว่านักเตะหลายๆ คนนั้นดีไม่พอ หรือพวกเขาก็อาจจะไม่แคร์มากพอ”
หนึ่งในปัญหาที่ชไมเคิลมองคือรังนิกนั้นไม่ใช่ผู้จัดการทีมเต็มตัว หากแต่เป็นแค่รักษาการณ์ผู้จัดการทีม และด้วยบทบาทแล้วเขาไม่สามารถทำอะไรมาก และเขาก็ไม่น่าที่จะอยู่กับทีมหลังจากนี้ แล้วเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้?”
ประโยคนี้ของชไมเคิล สัมพันธ์กับสิ่งที่เฟรด กองกลางตัวรับทีมชาติบราซิล (ซึ่งเป็นเรื่องตลกร้ายมากที่นักเตะที่ถูกแฟนวิพากษ์มากที่สุด กลับเป็นไม่กี่คนที่ทำผลงานได้พอใช้ในช่วงที่ผ่านมา) เคยออกมาพูดไม่กี่วันก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการตัดสินใจของฝ่ายบริหารที่เลือกจะแต่งตั้งรังนิกเข้ามารับงานคุมทีมชั่วคราว มากกว่าที่จะหาผู้จัดการตัวจริง
“ในเวลานี้ทุกอย่างมันเป็นเพียงแค่เป้าหมายระยะสั้น เรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหลังจบฤดูกาลแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป”
สิ่งที่เรารู้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาคือแมนฯ ยูไนเต็ดสนใจในตัว เมาริซิโอ โปเชตติโน และเอริก เทน ฮาก
แต่สิ่งที่เราไม่รู้ – เช่นเดียวกับที่นักเตะยูไนเต็ดก็น่าจะไม่รู้ – คือตกลงแล้วใครที่จะเป็นนายใหญ่คนใหม่?
ไม่มีคำตอบในสายลม ไม่มีความหวังในแววตา ไม่มีอะไรเลย
จากสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่คือแมนฯ ยูไนเต็ด กำลังเผาสิ่งที่มีค่าที่สุดอย่างเวลาและโอกาสไปกับการหวังว่ารังนิกจะช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้อะไรๆ กลับมาดีได้
ในเชิงของผลประกอบการ วัดเฉพาะพรีเมียร์ลีกการชนะ 7 เสมอ 5 และแพ้ 2 จาก 14 นัดที่เขาคุมทัพก็ไม่ถือว่าขี้เหร่นักสำหรับการทำงานตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา และในเชิงของสถิติการเล่นแล้วหลายอย่างก็มี ‘สัญญาณ’ ในทางที่ดีขึ้น
แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือเวลานี้รังนิกดูเหมือนจะเริ่มคอนโทรลทีมให้อยู่ใต้อาณัติไม่ได้
‘ผู้จัดการทีมชั่วคราว’ คือคำสาปที่ทำให้ลูกทีมแข็งข้อและไม่เชื่อฟัง เราจึง ‘ได้ยิน’ เรื่องราวซุบซิบจากสนามซ้อมแคร์ริงตันว่านักเตะไม่ให้ค่ากับรังนิกและทีมงานของเขา วิธีการซ้อมที่โบราณ กับอะไรอีกสารพัด
ขณะที่การตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวบางอย่างก็นำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดูเหมือนจะเลวร้าย
หนึ่งในนั้นคือการเริ่มดรอป คริสเตียโน โรนัลโด ที่เริ่มจากการเปลี่ยนตัวออกในเกมที่แมนฯ ยูไนเต็ดเอาชนะเบรนท์ฟอร์ดได้ 3-1 ซึ่งเราได้เห็น ‘CR7’ งอนตุ๊บป่องอยู่ข้างสนาม
ก่อนที่จะเริ่มเห็นการดรอปจากตัวจริงในบางนัด (ผสมกับที่โรนัลโดมีอาการบาดเจ็บและฟอร์มเริ่มตก) จนถึงเกมล่าสุดเมื่อคืนที่ผ่านมาที่ซูเปอร์สตาร์วัย 37 ปีไม่มีชื่อทั้ง 11 ตัวจริงและม้านั่งสำรอง โดยมีคำอธิบายจากนายใหญ่ชาวเยอรมันว่าเขามีอาการบาดเจ็บ
แต่น้องสาวของโรนัลโดออกมาส่งสัญญาณด้วยการกด Like ให้กับ Instagram ของแฟนคลับรายหนึ่งที่ให้ข้อมูลว่าโรนัลโดไม่ได้บาดเจ็บ แต่ไม่มีชื่อเป็นเพราะรังนิกต้องการปรับแท็กติกการเล่นเอง
หากเป็นจริง – ซึ่งก็เป็น ‘ข่าวลือ’ ที่แม้กระทั่งผู้สื่อข่าวภาคสนามของ beIN SPORTS ก็ยอมรับว่าเขาได้ยินมาเหมือนกันในระหว่างการวิเคราะห์เกมในสนามเอติฮัด สเตเดียม – นั่นหมายถึงโรนัลโดกับรังนิกคงยากที่จะสมานแผลใจกัน
มีรายงานข่าวว่าโรนัลโดได้ตัดสินใจเดินทางกลับไปโปรตุเกสทันทีที่ไม่อยู่กับทีม
และนอกจากโรนัลโดก็อาจรวมถึง เอดินสัน คาวานี ที่ลงซ้อมได้ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา แต่กลับแจ้งต่อรังนิกก่อนเกมว่า ‘ไม่พร้อม’ สำหรับการลงสนามในเกมสำคัญอย่างแมนเชสเตอร์ ดาร์บี ซึ่งเป็นเรื่องแปลกและเป็นสัญญาณอันตรายมาก
แต่ทั้งหมดทั้งมวลไม่มีอะไรที่เลวร้ายมากไปกว่าการที่นักเตะที่ลงสนามแสดงออกอย่างชัดเจนอีกครั้งว่าพวกเขาไม่คิดที่จะต่อสู้เลย
ทั้งๆ ที่นี่คือเกมดาร์บีแมตช์ จะยอมแพ้เกมไหนก็ได้แต่ไม่ใช่เกมนี้
ตัดประเด็นเรื่องสถานะของนายใหญ่อย่างรังนิก ตัดเรื่องความสัมพันธ์ในห้องแต่งตัวที่แตกร้าว ตัดประเด็นเรื่องระดับฝีเท้า ตัดประเด็นเรื่องแท็กติกการเล่นออกไปให้หมด – รวมถึงคอนเทนต์กีฬามันๆ ของ แฮร์รี แม็กไกวร์ ด้วย
ขั้นต่ำที่สุดที่นักเตะปีศาจแดงต้องทำในฐานะของแมนฯ ยูไนเต็ดคือการต่อสู้อย่างสุดความสามารถ เก่งไม่เท่าก็ต้องเอาหัวใจเข้าแลก ซึ่งน่าเศร้าที่เรดอาร์มีไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านั้นจากนักเตะของพวกเขาเลย
การลงเล่นโดยไม่พกหัวใจลงไปโดยเฉพาะในดาร์บีแมตช์แบบนี้คือสิ่งที่แย่ที่สุด และไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดของ ราล์ฟ รังนิก กำลังกลายเป็น Shambolic United และสำหรับทีมที่มีปัญหา เผชิญกับช่วงเวลาที่หนักหนา ไม่มีอะไรที่เลวร้ายกว่านักฟุตบอลที่หมดใจ
โอกาสเข้ารอบต่อไปของแชมเปียนส์ลีกยังมีอยู่ เช่นกันกับโอกาสในการลุ้นติดท็อปโฟร์แม้ว่าจะต้องเผชิญกับคู่แข่งตัวจริงอย่างอาร์เซนอล ที่ดูเหมือนเวลานี้จะกลับมาสู่เส้นทางของการกลับมาเป็นทีมฟุตบอลที่ดีอีกครั้งได้แล้ว
แต่หากแมนฯ ยูไนเต็ดยังเป็นแบบนี้ บทสรุปสุดท้ายในช่วงปลายฤดูกาลพวกเขาอาจจะไม่เหลืออะไรเลย
‘Drag me to Hell’
ผมกำลังคิดถึงเทรลเลอร์ของหนังสยองขวัญในอดีตขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ
อ้างอิง:
- https://www.thetimes.co.uk/article/i-wont-blame-my-players-says-ralf-rangnick-but-manchester-united-legends-arent-so-forgiving-39rlxjqs3
- https://www.telegraph.co.uk/football/2022/03/06/manchester-united-players-shame-club-says-roy-keane-six-should/
- https://www.theguardian.com/football/2022/feb/22/fred-says-rangnicks-interim-status-a-little-bit-bad-for-manchester-united