สวัสดีครับท่านนักลงทุน SET ยังปรับลงต่อเนื่อง และทำจุดต่ำใหม่ในรอบ 3 ปี ลงมาเคลื่อนไหวบริเวณ 1,360 จุด โดยปัจจัยในประเทศ แม้คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2.50% ต่อปี และ S&P คงอันดับความน่าเชื่อถือไทยที่ BBB+ และคง Outlook ในระดับมีเสถียรภาพ แต่ กนง. มีการปรับลดการคาดการณ์เศรษฐกิจและเงินเฟ้อลงรุนแรง อีกทั้งตลาดยังกังวลการปรับขึ้นค่าไฟและค่าจ้างขั้นต่ำจะกระทบต้นทุนการผลิต
ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ แม้ตัวเลขเศรษฐกิจส่งสัญญาณชะลอลง โดยเฉพาะ PMI ของยุโรป ญี่ปุ่นและจีน อีกทั้งเงินเฟ้อสหรัฐฯ และยุโรปล่าสุดลดลงกว่าคาด ทำให้โอกาสที่จะลดดอกเบี้ยมีมากขึ้น แต่ตลาดกังวลจีนมีความเสี่ยงมากขึ้นหลัง Moody’s ปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือพันธบัตรรัฐบาลจีนเป็น Negative หลังรัฐบาลประกาศอัดฉีดมาตรการการคลัง ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลต่ออุปสงค์น้ำมัน กดดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวลง
ทั้งนี้ หุ้นที่มีแรงขายหนักและปรับตัวลงแรง เช่น TRUE, BANPU, PTTEP, CPAXT, RATCH, COM7, CPALL และ AOT โดยตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมจนถึงวันที่ 13 ธันวาคม นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิใน SET ราว 6.3 พันล้านบาท และตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยไปแล้วกว่า 5.28 พันล้านดอลลาร์ สูงสุดในภูมิภาค
ด้านแนวโน้ม SET แม้มองยังมี Downside อยู่ ลงไปได้ถึงบริเวณ 1,300-1,330 จุด อย่างไรก็ตาม ผมมองว่าจุดต่ำของดัชนีที่ปรับลงมาอย่างต่อเนื่องตลอดในปีนี้จะอยู่ที่บริเวณนี้ และคาดว่าในปีหน้าตลาดน่าจะปรับตัวดีขึ้น จากภาวะดอกเบี้ยเริ่มปรับตัวลง ทั้งนี้ จากผลการประชุม Fed เมื่อวันที่ 12-13 ธันวาคมที่ผ่านมา มีการส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปีหน้า โดยปรับลดครั้งละ 0.25% รวม 0.75% จากเดิมที่ส่งสัญญาณปรับลดดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในการประชุมเมื่อเดือนกันยายน ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีต่อภาวะตลาดหุ้นฝั่งเอเชีย รวมถึง SET ด้วย
นอกจากนี้ที่ตลาดหุ้นไทยปรับลงอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทำให้หุ้นขนาดใหญ่ที่พื้นฐานดีหลายตัวปรับลงจนมีราคาที่ต่ำกว่ามูลค่า ดังนั้นในช่วงจังหวะนี้ผมจึงเห็นเป็นโอกาสที่ดีในการแนะนำเพื่อเข้าซื้อลงทุนในระยะกลางถึงยาว โดยเน้นเข้าลงทุนในกลุ่มหุ้นพื้นฐานดี และเป็นหุ้น ESG แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- หุ้น Big Cap (SET50) ที่คาดว่าเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งได้คัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่มีคุณสมบัติน่าสนใจ ดังนี้ (I) ได้ ESG Rating ‘AAA’ หรือ ‘AA’ และ (II) ราคาหุ้นปรับตัวลงแรงกว่า SET YTD เลือก SCGP, OR, CPALL, BEM, GULF, CRC และ HMPRO ขณะที่หุ้น ESG Rating ‘A’ ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวลงแรงมากในช่วงที่ผ่านมา แนะนำ AOT
- หุ้น Big Cap (SET50) ที่คาดว่าเป็นเป้าหมายการลงทุนจากแผนจัดตั้งกองทุน TESG ซึ่งคัดเลือกหุ้นที่อยู่ในดัชนี SETESG ที่ได้ ESG Rating ‘AAA’ และราคาหุ้นปรับขึ้นดีกว่า SET YTD อีกทั้งผลการดำเนินงานยังแข็งแกร่ง และคาดให้ Dividend Yield มากกว่า 5% ต่อปี เลือก PTT และ KTB
- นักลงทุนระยะยาวแนะนำเริ่มลงทุนแบบ Dollar-Cost-Averaging (DCA) โดยมองว่าเป็นจังหวะที่ดีที่สุดเนื่องจากราคาหุ้นมีมูลค่าพื้นฐานน่าสนใจ โดยเลือก BBL, BDMS, BEM, CPALL, PTT และ SCC ที่เป็นหุ้น SET100 ซึ่งเป็นผู้นำในแต่ละอุตสาหกรรม และมี ESG Rating ระดับ ‘AAA’ และ ‘AA’ รวมทั้งมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี และมีผลการดำเนินงานเติบโตต่อเนื่อง
นอกจากนี้ผมขอแนะนำ 10 หุ้นเด่นประจำปี 2024 ของ InnovestX ได้แก่
- AMATA ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตและ EEC
- BBL ภาระตั้งสำรองลดลงและได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต
- BEM ลุ้นสรุป 3 โครงการใหญ่ในปี 2024
- BDMS ตลาดผู้ป่วยเติบโต รับผลดี Wellness Tourism
- CPALL ประโยชน์ Digital Wallet และการท่องเที่ยวฟื้นตัว
- CRC รับผลบวก e-Refund และการท่องเที่ยวฟื้นตัว
- GULF กำไรและกำลังการผลิตโตต่อเนื่อง
- OR ประโยชน์ Digital Wallet กระตุ้นยอดขายธุรกิจไลฟ์สไตล์
- SCC มี Downside จำกัด รอ Chemical Cycle ฟื้น
- SCGP เข้าสู่ปีแห่งการฟื้นตัว
- รวมทุกช่องทาง InnovestX Official ให้คุณได้ติดตามข้อมูลข่าวสารการลงทุนรอบโลก: https://linktr.ee/InnovestX
- เปิดบัญชีลงทุน InnovestX วันนี้! เปิดครั้งเดียวลงทุนได้ครบทั้งจักรวาลการลงทุน
- โหลดเลย: https://innovestx.onelink.me/23if/bywa6d5r
- ติดตามบทวิเคราะห์การลงทุนอื่นๆ เพิ่มเติมจาก InnovestX: https://bit.ly/respublisher