โบรกเกอร์ชี้ การปรับขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปจะไม่รวดเร็วและร้อนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา หลังปรับตัวขึ้นมาถึง 38% ภายใน 2 เดือน เหตุตลาดหุ้นไทยสะท้อนความคาดหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไปพอสมควรแล้ว สวนทางกำไร บจ. ไตรมาส 1 ที่ลดลงแรง ขณะที่ไตรมาส 2 ยังมีแนวโน้มอ่อนแอ
บล.หยวนต้า มอง SET จากนี้เริ่มลดความร้อนแรง
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) มองการที่ SET Index ปรับตัวขึ้นมาถึง 38% นับจากจุดต่ำสุดที่ 969.08 จุด เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2563 ภายในระยะเวลาเพียง 2 เดือนกว่า ถือว่าฟื้นตัวค่อนข้างมากและรวดเร็วเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นหลักในหลายประเทศ เพราะฉะนั้นการขยับขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นไทยจากนี้ไปจะไม่รวดเร็วและร้อนแรงเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา
หากอิง EPS เฉลี่ยของ SET ระหว่างปีนี้และปีหน้าที่ราว 76.3 บาทต่อหุ้น คำนวณเป็น Forward P/E Ratio ได้ 17.5 เท่า ใกล้เคียงกับ 10-year P/E Band+2SD บ่งชี้ว่าตลาดหุ้นไทยสะท้อนความคาดหวังต่อการฟื้นตัวในอนาคตพอสมควรแล้ว
พลังงาน ปิโตรเคมี ตัวแปรสำคัญตลาดขึ้น-ลง
ความผันผวนจะสูงขึ้นจากแรงขายทำกำไร ขณะที่กระแสเงินทุนจะมีการสลับหมุนเปลี่ยนกลุ่ม (Sector Rotation) ระหว่างทาง แต่หากจะมีกลุ่มที่เป็นผู้นำตลาด เรามองว่าน่าจะเป็นกลุ่มการเงิน-ลีสซิ่งและโรงไฟฟ้า เพราะได้รับผลกระทบจำกัดจากโรคโควิด-19 และได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยต่ำ ส่วนกลุ่มที่จะเป็นตัวแปรกำหนดทิศทางตลาดโดยภาพรวมทั้งขึ้นและลงคือกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี ซึ่งมีน้ำหนักค่อนข้างมากต่อ Market Cap ของตลาดโดยรวม หุ้นกลุ่มนี้จะเคลื่อนไหวไปตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์และภาวะเศรษฐกิจโลกเป็นหลัก
บล.ดีบีเอสฯ ชี้ SET มีโมเมนตัมไปต่อได้จากการคลายล็อกดาวน์ แต่มีแรงขายสกัด
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุ SET มีโมเมนตัมไปต่อได้จากการคลายล็อกดาวน์ แต่อาจมีแรงขายสกัด ปัจจัยบวกมีมากคือทั่วโลกคลายล็อกดาวน์ สหรัฐฯ เพิ่มอีก 50 รัฐ อังกฤษและเยอรมนีก็ผ่อนคลาย ทำให้มีการขายทองคำเข้าหาหุ้น มีการเก็งกำไรหุ้น MSCI มีผล 29 พฤษภาคมนี้ ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านและดาวโจนส์ฟิวเจอร์สบวก และดัชนีความกังวลต่ำเป็น 27.6 จุด ด้านปัจจัยลบคือสงครามการค้า สหรัฐฯ อาจไม่ให้สิทธิพิเศษฮ่องกงหลังไม่เป็นอิสระจากจีน ราคาน้ำมันปรับลง ประกาศ GDP 1Q สหรัฐฯ ทวนรอบ 2 สำหรับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไทยเดือนเมษายนลดลงมาก -17% กลยุทธ์ระยะสั้น เข้าไว-ออกไว เล่นรอบ คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1,320-1,360 จุด
ติดตามคลายล็อกเฟส 3 กลับมาเก็งกำไรกลุ่มแบงก์
ทั้งนี้ต้องติดตามมาตรการคลายล็อกดาวน์ระยะที่ 3 การที่เศรษฐกิจทยอยฟื้นตัวทำให้กลับมาเก็งกำไรกลุ่มแบงก์ การเปิดเคอร์ฟิวยาวขึ้น ส่งผลดีกับธุรกิจบริการต่างๆ เช่น โรงพยาบาล และมีข่าวกรมสรรพสามิตกำลังเยียวยากลุ่มยานยนต์ ลดภาษีป้ายแดง 50% ทำให้มีการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มเช่าซื้อด้วย เช่น TMB, TCAP, TISCO, KKP สำหรับ MSCI หุ้นที่ถูกนำเข้าคำนวณ ได้แก่ AWC, BAM, KTC รวมทั้งหุ้นที่เข้า FTSE ได้แก่ BAM, BKER, RBF, SHR และ SFLEX แนวรับคือ 1,250-1,230 จุด และแนวต้าน 1,350-1,360 จุด ส่วนตัดขาดทุนต่ำกว่า 1,320 จุด
ติดตามข่าวสารการลงทุนเพิ่มเติมได้ที่: www.efinancethai.com
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์