ตลาดทรัพย์ฯ รายงานผลประกอบการ บจ. ครึ่งแรกของปี 2566 ยอดขายลดลง 2.8% ส่วนกำไรจากการดำเนินงานร่วง 32.5% โดนผลกระทบราคาน้ำมันดิ่งฉุดกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน แถมโดนพิษต้นทุนการผลิตพุ่งและดอกเบี้ยขาขึ้นกดดัน
แมนพงศ์ เสนาณรงค์ รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานผู้ออกหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.) จำนวน 764 บริษัท คิดเป็น 92.49% จากทั้งหมด 826 บริษัท (รวม SET และ mai ที่มีกำหนดส่งงบการเงิน ณ สิ้นงวดวันที่ 30 มิถุนายน 2566 และไม่รวมกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน) นำส่งผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2566 พบว่า มี บจ. รายงานกำไรสุทธิ 577 บริษัท คิดเป็น 75.52% ของ บจ. ที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด
โดยผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บจ. ใน SET มียอดขาย 8.34 แสนล้านบาท ลดลง 2.8% ต้นทุนการผลิตปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารเพิ่มสูงขึ้น 7.8% จากการขยายตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลังโควิด
ซึ่งส่งผลให้ บจ. มีกำไรจากการดำเนินงานหลัก (Core Profit) อยู่ที่ 7.48 แสนล้านบาท ลดลง 32.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4.57 แสนล้านบาท ลดลง 26.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนสำหรับฐานะการเงินของกิจการ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 ขณะที่ บจ. ไทย มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ D/E Ratio (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ระดับ 1.53 เท่า ลดลงจาก 1.59 เท่าในครึ่งแรกของปี 2565
“ราคาน้ำมันและค่าการกลั่นที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลกระทบต่อธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมี ทำให้ยอดขายและกำไรอ่อนตัวลงค่อนข้างมาก แต่หากพิจารณาธุรกิจอื่นๆ ไม่รวมธุรกิจพลังงานและปิโตรเคมีจะพบว่า ยอดขายขยายตัวพอประมาณที่ 4.5% โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว เช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร และสายการบิน ฯลฯ
อย่างไรก็ดี บจ. ต้องเผชิญกับความท้าทายในการดำเนินธุรกิจหลากหลายปัจจัย รวมถึงต้นทุนการผลิตที่ยืนอยู่ในระดับสูง กิจกรรมการขายที่ฟื้นตัวและมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังผ่านพ้นสถานการณ์โควิด และอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นอีกด้วย” แมนพงศ์กล่าว
ด้านผลการดำเนินงานของ บจ. ในตลาดหลักทรัพย์ mai งวดครึ่งแรกของปี 2566 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มียอดขายรวม 95,183 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.3% ต้นทุนการผลิต 71,014 ล้านบาท ลดลง 0.3% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 18,619 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.0% ส่งผลให้กำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 5,550 ล้านบาท ลดลง 14.1% และกำไรสุทธิ 1,503 ล้านบาท ลดลง 71.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน