ตลาดหุ้นไทยปีนี้ถูกคาดหวังว่าจะเป็นปีแห่งการฟื้นตัว หลังจากเผชิญกับวิกฤตโควิดตั้งแต่ต้นปีก่อน จนทำให้ดัชนี SET เคยดิ่งลงไปแตะระดับ 969 จุด ก่อนจะดีดตัวกลับมายืนเหนือ 1,400 จุด ในช่วงปลายปี 2563
แม้ว่าดัชนี SET ในปี 2564 จะค่อยๆ แกว่งตัวสลับขึ้นลงจนไปแตะ 1,642.80 จุด ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา แต่ล่าสุดดัชนีก็ดิ่งลงมาอย่างรวดเร็วกว่า 100 จุด ภายในไม่ถึง 1 เดือน
“ดัชนีหุ้นไทยอาจจะผ่านจุดแพนิกไปแล้ว ตลาดอาจจะไม่ได้หล่นลงไปมาก และคงจะไม่ได้แย่เหมือนกับเดือนมีนาคมปีก่อน เพราะช่วงที่ผ่านมาคนอาจจะไม่ได้คาดหวังมากนัก ถ้าไม่ได้มีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นจริงๆ เช่น วัคซีนที่กระจายกันในหลายประเทศไม่สามารถป้องกันไวรัสที่กลายพันธุ์ได้ หุ้นก็ไม่น่าจะลงแรง” ตราวุทธิ์ เหลืองสมบูรณ์ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Jitta กล่าวถึงตลาดหุ้นไทยหลังจากที่ย่อตัวลงมาต่อเนื่องในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ตราวุทธิ์กล่าวว่า โดยส่วนตัวจะไม่ค่อยคาดเดาตลาด เพราะทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ อย่างสถานการณ์ปัจจุบันที่ตอนนี้หลายคนอาจจะไม่ได้กังวลมากนัก เพราะเห็นว่าการล็อกดาวน์ที่ผ่านๆ มา หุ้นอาจจะปรับลงแต่ไม่นานก็ฟื้นกลับมาได้ แต่หากสถานการณ์เปลี่ยนไป เช่น จำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จนกดดันให้เงินทุนไหลออกมากขึ้นและกดดันให้ตลาดร่วงต่อ ก็อาจจะมีแรงขายจากการบังคับขายออกมา ซึ่งก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นได้
“เมื่อปีก่อนคาดหวังว่าหุ้นไทยปีนี้จะขึ้นได้เยอะจากฐานปีก่อนที่ต่ำ แต่มาถึงจุดนี้ซึ่งหลายปัจจัยยังมองไม่ออก และการที่ประเทศไทยอิงกับการท่องเที่ยวมาก ทำให้ภาพรวมตลาดปีนี้อาจจะแค่ทรงตัวจากปีก่อน”
นอกจากนี้จะเห็นว่าเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดการลงทุนทุกวันนี้มีเป้าหมายอยู่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ อย่างกรณีของ Jitta Wealth เงินลงทุนใหม่กว่า 70-80% ก็เลือกจะไปลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเป็นเทรนด์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
ขณะที่ นิเวศน์ เหมวชิรวรากร หนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ยังคงลงทุนเต็มจำนวนและไม่ได้เหลือเงินสดมากนัก โดยยังเน้นลงทุนในหุ้นที่แข็งแกร่ง และสามารถที่จะอยู่รอดผ่านวิกฤตโควิดจนกลับมาเป็นผู้นำของอุตสาหกรรมเช่นเดิม แม้ผลตอบแทนอาจไม่สูงมากแต่เป็นหุ้นที่ค่อนข้างปลอดภัย
“จะช้าหรือเร็วเศรษฐกิจไทยก็น่าจะกลับมาได้ตามสถานการณ์ของโลกที่ดีขึ้น เพราะเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจที่อิงกับโลกมากแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องท่องเที่ยวและส่งออก”
ส่วนภาพในระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบไปแบบนี้ จนกว่าจะเริ่มเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ หลักๆ คือเรื่องโควิดที่สามารถแก้ปัญหาได้ดีขึ้นจนเริ่มเห็นชัดเจนว่าเราจะพ้นจากวิกฤตไปได้อย่างไร ซึ่งปัจจัยที่สำคัญคือการกระจายวัคซีนที่เร็วขึ้นและมีกำหนดเปิดประเทศชัดเจน จึงจะช่วยหนุนให้หุ้นขึ้นได้แรง ส่วนตัวยังเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ในปีนี้
อธิป กีรติพิชญ์ อีกหนึ่งนักลงทุนสาย Value Investing มองว่า หุ้นในธีม ‘Reopening’ ซึ่งนักลงทุนหลายคนปรับพอร์ตเพื่อเข้าซื้อหุ้นเหล่านี้ เช่น ค้าปลีก รถไฟฟ้า ธนาคาร ต้องเผชิญกับการฟื้นตัวที่ช้าออกไป แต่หากมองภาพระยะยาว เชื่อว่าในที่สุดแล้วหุ้นเหล่านี้จะกลับมาได้
“สำหรับบางคนที่ยังมีเงินสดติดมืออาจจะรอถึงกลางเดือนสิงหาคม หลังจากที่บริษัทต่างๆ ประกาศงบไตรมาส 2 แล้ว ซึ่งจะช่วยให้เราเห็นหน้าไพ่มากขึ้น และทำให้เราเลือกลงทุนได้แม่นยำขึ้นในหุ้นที่ปรับตัวได้ดีกับโควิด”
ส่วนภาพรวมตลาดหลังจากนี้ไม่คิดว่าจะปรับฐานรุนแรง ที่ผ่านมาแม้ว่าหลายปัจจัยจะผิดไปจากที่คิดไว้ แต่เงินลงทุนยังไม่ได้ไหลออกจากตลาดไปมาก ขณะที่นักลงทุนรายย่อยเองก็ยังมีเงินทุนสนับสนุนเข้ามาอยู่
“ช่วงก่อนหน้านี้หลายคนอาจจะเลือกลงทุนในหุ้นที่เป็นกระแส เช่น หุ้น IPO บางส่วน หรือหุ้นกลุ่มที่เป็นธีม เช่น อิเล็กทรอนิกส์ เหล็ก เดินเรือ แต่หากตลาดจะฟื้นตัวกลับมาได้จริงจังกลุ่มเหล่านี้จะไม่ใช่เป้าหมายหลักของ Fund Flow แต่จะเป็นกลุ่มหุ้นหลักอย่างพลังงาน ธนาคาร สื่อสาร และค้าปลีก”
ทั้งนี้อธิปมองว่า หุ้นไทยมีโอกาสจะขยับไปยืนเหนือระดับ 1,600 จุด และขึ้นต่อไปทดสอบ 1,800 จุด ได้ก่อนที่จะเริ่มเห็นการขึ้นดอกเบี้ยและลดวงเงิน QE ในอนาคต
ในมุมของ เสี่ยยักษ์-วิชัย วชิรพงศ์ หนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ มองว่า ตลาดหุ้นไทยในเวลานี้น่าจะยังแกว่งแคบๆ อยู่บริเวณนี้ หลังจากที่ดัชนีหุ้นวิ่งขึ้นมาในระดับหนึ่ง ขณะที่เศรษฐกิจภาพรวมยังไม่ได้ฟื้นตัวดีนักและสถานการณ์โควิดก็ยังไม่จบ
แต่โดยส่วนตัวก็ไม่ได้มองว่าตลาดหุ้นไทยจะปรับลงแรง เพราะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ใกล้ระดับ 0% ทำให้นักลงทุนไม่ได้มีทางเลือกมากนัก แต่ด้วยภาวะตลาดที่อยู่ในกรอบแคบเช่นนี้ ส่วนตัวก็ชะลอการลงทุนลงมา
“จากนี้ไปนักลงทุนไม่ต้องหาหุ้น P/E 10 เท่า ไม่มีทางหาเจอ เราจะเห็นแต่หุ้น P/E 30-40 เท่า จนกว่าที่อัตราดอกเบี้ยจะเริ่มขยับขึ้น”
ด้าน เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง อีกหนึ่งนักลงทุนรายใหญ่ มองว่า ภาพระยะยาวของตลาดหุ้นไทยน่าจะยังดี แต่ในระยะสั้นหากดัชนี SET ยืนต่ำกว่า 1,585 จุด จะทำให้ตลาดเข้าสู่ช่วงพักตัวต่อไป และถ้าหลุด 1,565 จุดก็มีโอกาสจะเห็นดัชนี SET ลดลงไปทดสอบบริเวณใกล้กับ 1,500 จุด
“ช่วงนี้ปัจจัยลบเข้ามากระทบตลาดหลายเรื่อง ทั้งเรื่องความเป็นอยู่ เรื่องโควิด และความกังวลต่อการขึ้นดอกเบี้ยของ Fed ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายเงินทุนในระดับโลก ส่วนตัว ซึ่งแบ่งพอร์ตเป็นระยะยาวกับระยะสั้น ในส่วนของระยะสั้นหลังจากดัชนีหลุด 1,585 จุดลงมา พอร์ตในส่วนนี้ก็ว่างเลย แต่พอร์ตระยะยาวก็ยังคงถือหุ้นต่อไป”
ในระยะสั้นทั่วโลกยังเผชิญกับปัญหาโควิด แม้ประเทศไทยจะดูแย่กว่าในตอนนี้ แต่ท้ายที่สุดการกระจายวัคซีนก็จะมากขึ้น และตลาดหุ้นไทยก็มีโอกาสจะขยับขึ้นไปได้เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่ขึ้นไปก่อนแล้ว ส่วนกรณีเลวร้ายสุดที่ตลาดอาจจะปรับลงไปแรง ส่วนตัวมองว่าจะเกิดขึ้นหากดัชนี SET หลุดลงไปต่ำกว่า 1,483 จุด ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ย 75 เดือนของดัชนี SET