นับจากวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง 7 วันทำการติดต่อกัน จาก 1,289.84 จุด ขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ 1,368.52 จุด เพิ่มขึ้น 78 จุด หรือ 6% ถือเป็นการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องนานที่สุดนับแต่ปลายเดือนธันวาคม 2566 ซึ่งในครั้งนั้น ดัชนี SET บวกต่อเนื่อง 9 วันติดต่อกัน
ล่าสุด ดัชนี SET ชะลอตัวลงมาปิดที่ 1,364.31 จุด ลดลง 0.5 จุด หรือ 0.04% จากวันก่อนหน้า
บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ครึ่งเดือนแรกของเดือนสิงหาคม หุ้นไทยเจออุปสรรคใหญ่ แต่ยังเป็นดัชนีที่ปรับตัวขึ้นได้มากที่สุดอันดับ 5 ของโลก อุปสรรคในช่วงแรกมาจากทั้งเหตุการณ์ Mini Black Monday อีกครั้งในรอบ 37 ปี เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ตามมาด้วยการยุบพรรคก้าวไกล วันที่ 7 สิงหาคม ก่อน MSCI จะปรับลดน้ำหนักหุ้นไทยในวันที่ 13 สิงหาคม ก่อนที่ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี จะถูกศาลสั่งยุติบทบาทในวันที่ 14 สิงหาคม
แต่หลังจากนั้นหุ้นไทยเริ่มมีปัจจัยบวกต่อเนื่อง ทั้งจากกำไรไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียน จำนวน 2.6 แสนล้านบาท ดีกว่าที่คาด 12.25% ตามมาด้วยการได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างรวดเร็ว คือ แพทองธาร ชินวัตร ในวันที่ 16 สิงหาคมที่ผ่านมา รวมทั้งการแสดงวิสัยทัศน์ของอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ขณะที่เงินบาทก็แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
ปัจจัยเหล่านี้หนุนกระแสเงินทุนไหลเข้าหุ้นไทย 1.39 หมื่นล้านบาท (ไม่รวม Big Lot ของหุ้น SCCC) โดยเป็นการซื้อทางตรง 7.1 พันล้านบาท และซื้อผ่าน NVDR อีก 6.8 พันล้านบาท ช่วยให้ดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 3.33% จากเดือนก่อนหน้า สูงสุดอันดับ 8 ของโลก แต่ถ้าแปลงเป็นสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ดัชนี SET เพิ่มขึ้น 8.09% สูงสุดอันดับ 5 ของโลก
นอกจากนี้ มูลค่าซื้อขายต่อวันในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังเร่งขึ้นมาจนอัตราหมุนเวียนของปริมาณการซื้อขาย (Turnover) สูงเกิน 70% ต่อปี ซึ่งจากสถิติในอดีต การที่ SET จะปรับตัวขึ้นได้ดี มูลค่าซื้อขายต้องหนุนให้ Turnover เกิน 70% ต่อปี ซึ่งจะช่วยให้ดัชนี SET ปรับขึ้นได้ 0.09% ต่อวัน หรือ 22.3% ต่อปี
แม้หุ้นไทยจะยังอยู่บนโมเมนตัมเชิงบวก แต่ในมุมมองของ ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เชื่อว่า หุ้นไทยใกล้จะเต็มมูลค่าในช่วงสั้นจากทั้งปัจจัยด้านมูลค่าและปัจจัยที่ไม่ใช่เรื่องมูลค่าโดยตรง
หากมองจากมูลค่าพื้นฐาน อิงจากกำไรต่อหุ้นปีหน้าของหุ้นไทยที่ประเมินไว้ 107 บาทต่อหุ้น ขณะที่ Consensus ประเมินไว้ที่ 103 บาท กรณีย่ำแย่สุดของหุ้นไทยจะอยู่ที่ 1,270 จุด กรณีฐานคือ 1,370 จุด และกรณีดีสุดคือ 1,480 จุด
“ในไตรมาส 3 เชื่อว่าสภาพคล่องจะยังไม่ได้ไหลทะลักเข้ามา ทำให้กรณีฐานน่าจะเป็นการประเมินที่เหมาะสมที่สุด และช่วงที่ผ่านมา หุ้นไทยขึ้นมาด้วยความคาดหวังเป็นหลัก ขณะที่การคาดการณ์กำไรยังไม่ได้ถูกปรับขึ้นมากนัก ณ วันนี้ ความคาดหวังแทบจะอยู่ในราคาไปมากแล้ว”
ในเชิงกลยุทธ์แบ่งเป็น 2 แนวทาง สำหรับผู้ที่ยังถือหุ้นอยู่ คือ 1. Let Profit Run ไปจนถึงการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และแถลงนโยบายใหม่ 2. Let Profit Run ไปจนถึง 1,370 จุด และหาจังหวะลดพอร์ต
แต่ในช่วงไตรมาส 4 หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มลดดอกเบี้ย เชื่อว่าดัชนี SET มีโอกาสจะวิ่งเข้าสู่กรณีดีสุดที่ 1,480 จุด จากสภาพคล่องที่มีโอกาสไหลเข้ามามากขึ้น ทั้งเงินทุนจากบัญชี FCD และทุนต่างชาติ รวมทั้งสภาพคล่องในประเทศจากกองทุนวายุภักษ์และกองทุน Thai ESG