×

‘เซียนหุ้น’ มอง SET Index ยังไปได้ต่อ มีลุ้นทำ All Time High จากแรงซื้อของต่างชาติที่น่าจะยังเข้ามาต่อเนื่อง

10.02.2022
  • LOADING...
SET Index

นับตั้งแต่ต้นปี 2565 เป็นต้นมา นักลงทุนต่างชาติโหมซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง โดยมียอดซื้อรวมกันกว่า 52,199 ล้านบาท หนุนให้ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) ขยับขึ้นมาราว 2.3% ทะลุระดับ 1,700 จุด ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี 7 เดือน

 

โดยเฉพาะในช่วง 2 วันมานี้ ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเด่นชัดมากขึ้น ซึ่งในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ นักลงทุนกลุ่มนี้มียอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 17,416 ล้านบาท และวันนี้ (10 กุมภาพันธ์) ยังซื้อสุทธิเพิ่มอีก 8,461 ล้านบาท …มาถึงจุดนี้เชื่อว่าหลายคนคงมีคำถามว่า หลังจากนี้ SET Index จะยังไปได้ต่อหรือไม่ แล้วนักลงทุนต่างชาติจะเป็นผู้ซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกนานแค่ไหน

 

THE STANDARD WEALTH จึงสำรวจมุมมองจากนักลงทุน VI และรายใหญ่ที่มีประสบการณ์ลงทุนในหุ้นไทยมาอย่างยาวนาน ถึงมุมมองที่มีต่อเรื่องดังกล่าว โดยสรุปได้ว่าตลาดหุ้นไทยยังไปได้ต่อ จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่จะไหลเข้าต่อเนื่อง และจะทำให้ปีนี้ SET Index มีโอกาสทำ All Time High ได้

 

หุ้นไทยยัง Laggard เมื่อเทียบตลาดหุ้นอื่น

อธิป กีรติพิชญ์ หรือ นิ้วโป้ง นักลงทุนหุ้นแนว VI ของตลาดหุ้นไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ปรับเพิ่มขึ้นด้วย 2 ปัจจัยหลักคือ สภาพคล่องที่ยังมีอยู่ในระดับสูงและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ ซึ่งตลาดหุ้นบางแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้นจนพ้นระดับช่วงก่อนเกิดโควิดไปแล้ว และบางประเทศ ดัชนีก็ปรับเพิ่มขึ้นจนสร้างจุดสูงสุดครั้งใหม่ได้เช่นกัน แต่ภาพรวมหุ้นไทยกลับแตกต่างออกไป

 

โดยตลาดหุ้นไทยยังไม่ปรับขึ้นมากนัก เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้ากว่าคนอื่น เพราะได้รับผลกระทบจากโควิดค่อนข้างมาก 

 

ทั้งนี้ เมื่อเข้าสู่ปี 2565 ที่ปัจจัยภายนอกเปลี่ยน คือสภาพคล่องมีแนวโน้มจะลดลงและอัตราดอกเบี้ยเป็นทิศทางขาขึ้น ทำให้เงินลงทุนที่ตลาดหุ้นฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป ไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยตลาดหุ้นที่เป็นเป้าหมายคือตลาดหุ้นที่เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัวชัดและอัตราดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับที่ต่ำ 

 

“ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในปลายทางการลงทุนที่สำคัญของนักลงทุนต่างชาติในรอบนี้” อธิปกล่าว

 

นอกจากนี้เขายังบอกด้วยว่า ลักษณะการไหลเข้าของเงินต่างชาติครั้งนี้ น่าจะเหมือนกับช่วงปี 2555-2556 หรือครบรอบ10 ปีพอดี โดยในปี 2555 นั้น Fed ยังมีการทำ QE อยู่ ทำให้มีสภาพคล่องล้นระบบ สินทรัพย์เสี่ยงมี Performance ที่ดีมาก และพอเข้าสู่ปี 2556 ที่ Fed ประกาศปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ เงินลงทุนต่างชาติพากันไหลออก และมาเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่เพื่อ Search for Yield จึงมองว่าพฤติกรรมนักลงทุนต่างชาติครั้งนี้ก็น่าจะเป็นลักษณะเดียวกัน

 

เชื่อหุ้นไทย All Time High ปีนี้ 

เขากล่าวว่า เม็ดเงินลงทุนต่างชาติจะไหลเข้าหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มบิ๊กแคป โดยเฉพาะกลุ่มพลังงาน ธนาคาร สื่อสาร ค้าปลีก หุ้น AOT และ SCC ที่ราคาหุ้นยัง Laggard อยู่ ซึ่งหุ้นบิ๊กแคปมีน้ำหนักต่อดัชนีมาก เมื่อปรับตัวเพิ่มขึ้นก็จะผลักดันให้ดัชนีปรับเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน 

 

โดยมองว่าโอกาสที่ SET Index จะปรับขึ้นทำจุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หรือ All Time High ได้ในปีนี้ คือยืนเหนือระดับ 1,850 จุด ภายใต้เงื่อนไข 3 อย่าง คือ

 

  1. สามารถควบคุมสถานการณ์โควิดได้ดี
  2. เงินลงทุนต่างชาติไหลเข้าต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนสถาบันในประเทศและนักลงทุนทั่วไปเปิด Position ในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้น
  3. มีการเปิดประเทศ 100% กล่าวคือ ทุกประเทศสามารถเปิดประเทศได้หมด 

 

“ด้วยคาแรกเตอร์หุ้นไทยที่เงินลงทุนต่างชาติมีผลเสมอ โดยถ้าปีไหนต่างชาติซื้อสุทธิหรือขายสุทธิไม่เกิน 30,000 ล้านบาท หุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกเสมอ แต่หากมีการขายสุทธิเกิน 100,000 ล้านบาท หุ้นไทยจะติดลบ” อธิปกล่าว

 

แนะเฟ้นหาหุ้น Laggard เพื่อลงทุน

อย่างไรก็ตาม แม้จะเชื่อมั่นว่าแนวโน้มหุ้นไทยยังเป็นขาขึ้น แต่ก็ควรเลือกลงทุน และมองว่ารอบนี้เป็นรอบของหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคายัง Laggard โดยวิธีหาหุ้นที่ราคายังไม่แพง คือการเทียบราคาหุ้นปัจจุบันกับราคาในช่วงปี 2563 ที่ดัชนีอยู่ระดับ 1,300-1,400 จุด เพื่อหาหุ้นที่ราคาไม่เปลี่ยนแปลงแม้ดัชนีจะบวกขึ้นมาแล้ว 300-400 จุดก็ตาม จากนั้นก็ควรดูปัจจัยพื้นฐานประกอบเพื่อพิจารณาถึงแนวโน้มการเติบโตของหุ้นนั้นๆ และภาพรวมอุตสาหกรรม

 

‘เสี่ยป๋อง’ มองต่างชาติเพิ่งเริ่มซื้อ

วัชระ แก้วสว่าง หรือ เสี่ยป๋อง หนึ่งในนักลงทุนรายใหญ่ของตลาดหุ้นไทย กล่าวว่า ส่วนตัวยังเชื่อว่าหุ้นไทยยังอยู่ในทิศทางขาขึ้น และการเข้าซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างประเทศก็เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

 

“เงินต่างชาติเพิ่งเข้ามาหนักๆ ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา และไม่ได้เข้าเฉพาะตลาดหุ้นไทยเท่านั้น แต่ก็เข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเพื่อนบ้านด้วยเช่นกัน จึงเชื่อว่าจากนี้ไปจะมีเงินไหลเข้าอีกเรื่อยๆ แต่ระหว่างทางก็จะมีขายออกหรือสลับกลุ่มบ้าง โดยกลุ่มที่ต่างชาติน่าจะเข้าซื้อก็คือหุ้นขนาดใหญ่ เช่น กลุ่มแบงก์ พลังงาน และสื่อสาร” วัชระกล่าว

 

สำหรับปัจจัยที่น่ากังวล ทั้งเรื่องการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย การดึงสภาพคล่องออกจากระบบ และการแพร่ระบาดของโควิด มองว่าตลาดรับรู้และซึมซับปัจจัยเหล่านี้ไปหมดแล้ว จึงเชื่อว่าหุ้นไทยปีนี้มีโอกาสปรับขึ้นไปถึงระดับเหนือ 1,800 จุด ซึ่งเป็นจุดที่สมาคมนักวิเคราะห์ทำการสำรวจและประเมินเอาไว้ได้ 

 

‘ดร.นิเวศน์’ มองดัชนี 1,700 จุด สมเหตุสมผล

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร นักลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Investor) ของตลาดหุ้นไทย กล่าวว่า SET Index ที่ระดับ 1,700 จุด ถือว่าสมเหตุสมผล และเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นได้อีก โดยระดับดัชนีที่ 1,800 จุด ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดขึ้น 

 

ปัจจัยสนับสนุนหลักคือการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยหลังจากที่ไม่มีการเติบโตมาราว 2 ปี และราคาตลาดหุ้นที่ยัง Laggard เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นอื่น

 

“ตลาดหุ้นไทย Laggard เทียบกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก ส่วนหนึ่งเพราะโควิดกระทบหุ้นไทยมากกว่าหุ้นทั่วโลกที่ปรับเพิ่มขึ้นจนสร้างระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ไปแล้วเมื่อปีก่อน จึงมองว่าหากเศรษฐกิจไทยกลับสู่ระดับก่อนโควิด ตลาดหุ้นไทยก็น่าจะตอบรับเชิงบวกด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้น ดัชนีน่าจะกลับไปที่เดิมก่อนโควิด คือระดับ1,800 จุดได้ แต่ไม่สามารถระบุชัดว่าจะเห็นในปีนี้หรือปีหน้า เนื่องจากต้องประเมินการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยด้วย”​ ดร.นิเวศน์กล่าว

 

มองหุ้น ‘บิ๊กแคป’ เป้าต่างชาติเข้าซื้อ

ดร.นิเวศน์กล่าวเพิ่มว่า กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่เริ่มเข้ามา เชื่อว่าจะมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยไปเยอะมาก ราว 7-8 แสนล้านบาท การเริ่มกลับเข้ามาครั้งนี้น่าจะเพิ่งเริ่มต้น โดยหุ้นที่เป็นเป้าหมายเข้าลงทุนคือหุ้นขนาดใหญ่ที่ราคาหุ้นยังไม่แพงและอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีโอกาสเติบโต

 

สำหรับปัจจัยกังวลเรื่องสภาพคล่องที่มีแนวโน้มลดลงทั่วโลก จากการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวของธนาคารกลางหลายประเทศนั้น มองว่าผลกระทบที่จะเกิดกับตลาดหุ้นไทยนั้นค่อนข้างน้อย ในทางตรงกันข้าม อาจจะได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยเพิ่งเริ่มฟื้นตัว ต้องการนโยบายมากระตุ้นเศรษฐกิจอีกมาก ดังนั้นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจึงยังไม่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ทำให้มีความน่าสนใจเข้าลงทุนมากกว่าประเทศที่เริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

 


 

ช่องทางติดตาม THE STANDARD WEALTH


Twitter: twitter.com/standard_wealth
Instagram: instagram.com/thestandardwealth
Official Line: https://lin.ee/xfPbXUP

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X