ตลาดหุ้นไทยวันนี้ (13 มีนาคม) ดิ่งลงแรง โดยดัชนี SET ติดลบไปถึง 26.58 จุด ปิดที่ 1,573.07 จุด ทำจุดต่ำสุดในรอบ 5 เดือน โดยกลุ่มหุ้นที่ถูกเทขายมากที่สุดในวันนี้คือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ (BANK) และกลุ่มสื่อสาร (ICT) ซึ่งกดดัชนีไปกลุ่มละประมาณ 4.3 จุด
ณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ เปิดเผยว่า หุ้นไทยถูกกดดันอย่างหนักหลังตลาดหุ้นยุโรปเปิดในช่วงบ่าย พร้อมกับการที่หุ้นกลุ่มแบงก์ถูกเทขายอย่างหนัก กดดันให้ดัชนี Dow Jones Futures ซึ่งบวกอยู่ในในตอนแรก กลับมาติดลบเช่นกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- หุ้นจีน – ฮ่องกง ดีดรับตัวเลข PMI สูงสุดรอบเกือบ 11 ปี นักวิเคราะห์คาดแรงเทขายสิ้นสุดลงแล้ว
- รีวิว ‘มาตรการกำกับ’ ฉบับเข้มข้น พบ 3 หุ้น ‘BGT, JTS และ TEAMG’ เข้าระดับ 3 ในปีนี้
- ตลาดหลักทรัพย์ฯ ประกาศหุ้นเข้า SET50-SET100 รอบเดือน ม.ค.-มิ.ย. ปี 66
“ตอนนี้เป็นลักษณะของ Sentiment ที่กระทบไปยังกลุ่มสถาบันการเงินทั่วโลก ซึ่งรวมถึงหุ้นแบงก์ไทยที่วันนี้กดดันตลาดไปประมาณ 4 จุด”
ปัจจุบันดัชนี SET ร่วงลงมาต่ำกว่าแนวรับแรกที่บริเวณ 1,580 จุด ส่วนแนวรับสำคัญที่เรามองว่าเป็นจุดที่ดัชนีจะหยุดลงได้ในระยะสั้นคือบริเวณ 1,550-1,560 จุด หากมองจากปัจจัยกดดันที่เกิดขึ้นคือเรื่องของ Silicon Valley Bank เป็นปัจจัยที่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียนไทยโดยตรง และในระยะกลางอาจกลายเป็นปัจจัยหนุน เพราะจากเดิมที่นักลงทุนอาจให้ P/E ลดลง แต่หากปัจจัยนี้ทำให้ธนาคารกลางแต่ละแห่งเปลี่ยนโหมดมาผ่อนคลาย จะทำให้นักลงทุนให้ P/E มากขึ้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลต่างๆ ในปัจจุบันเชื่อว่าปัญหาที่เกิดขึ้นไม่น่าจะลุกลาม และยังพอสบายใจได้ที่ต้นตอของปัญหาไม่ได้เกิดจากแบงก์ขนาดใหญ่ ทำให้ผลกระทบยังอยู่ในวงจำกัด
ในเชิงกลยุทธ์หลังจากที่ทะยอยสะสมไปแล้ว 1 รอบ บริเวณ 1,580 จุด หลังจากนี้อาจรอสะสมที่บริเวณ 1,550-1,560 จุด
“ตอนนี้ Valuation ได้เปรียบแล้ว ขอเพียงแค่เรื่อง Sentiment กลับมา”
ดัชนี SET หลุด 1,600 ลงต่อหรือพอแค่นี้?
เมื่อปีที่แล้วตลาดหุ้นไทยได้ชื่อว่าเป็น Safe Haven หรือหลุมหลบภัยให้แก่นักลงทุน ท่ามกลางการชะลอตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก แต่ดัชนี SET กลับยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง
มาในปีนี้ด้วยสภาพเศรษฐกิจโลกที่ยังคลุมเครือ ทำให้มนตร์วิเศษเริ่มจางหาย จนในที่สุดดัชนี SET จ่อหลุด 1,600 จุดแล้ว คำถามต่อไปคือการถดถอยนี้จะสิ้นสุดอยู่ตรงไหน แล้วหุ้นไทยจะมีภาพฟื้นตัวหรือไม่ในปีนี้
ตลาดหุ้นไทยถูกตั้งให้เป็น Safe Haven เมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว หลังได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศของจีนกระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นดาวเด่นของไทย ให้กลับมาครึกครื้นอีกครั้ง ขณะที่หลายคนคาดการณ์ในตอนนั้นว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ Fed จะถึงจุดสิ้นสุดแล้ว
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจโลกยังคงคลุมเครือต่อไป เพราะอัตราเงินเฟ้อทั่วโลกนั้นสูงเกินกว่าที่คาด อีกทั้งภาคแรงงานของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง ส่งผลให้ Fed มีแนวโน้มที่จะขึ้นดอกเบี้ยสูงกว่าที่คาดการณ์ อีกทั้งยังเกิดเหตุการณ์การล่มสลายของ SVB ที่สร้างความกังวลให้แก่นักลงทุนทั่วโลกว่าจะเกิดวิกฤตธนาคารเหมือนอย่างกรณี Lehman Brothers ในปี 2008 อีกครั้งหรือไม่
ขณะที่ไทยดูเหมือนจะหมดปัจจัยในประเทศที่หนุนตลาดให้พุ่งทะยานต่อไป ประกอบกับงบประกอบการโดยรวมที่ยํ่าแย่กว่าที่คาดไว้
ล่าสุดดัชนี SET ลดลง 4.16% นับตั้งแต่เริ่มปี 2566 (YTD) และปิดตลาดที่ 1573.07 จุด ในวันนี้
นักวิเคราะห์และนักลงทุนต่างให้ความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า ตลาดหุ้นไทยยังคงไร้ปัจจัยหนุนต่อไป แต่เชื่อว่าตลาดจะไม่ลงไปมากกว่านี้สักเท่าไร
สรพล วีระเมธีกุล หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บมจ.หลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวในงาน WEALTH CLUB 2023: RISING IN RECESSION ว่า ตลาดหุ้นไทยดูไม่น่าสนใจในระยะยาว แต่ยังลงทุนได้ในระยะสั้น โดยอาศัยอานิสงส์จากการเปิดประเทศจากจีนต่อไป แต่ไม่เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะ Outperform ตลาดหุ้นทั่วโลก
ขณะที่ วนนท์ วรรณป้าน เทรดเดอร์เจ้าของเพจ Beer Wanon เผยว่า ปีนี้เป็นปีที่ยากต่อการเทรด และนับเป็นสถานการณ์ที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เพราะหลายๆ ปัจจัยยังคลุมเครือ โดยมีทั้งปัจจัยบวกและลบ แต่มองว่าหุ้นไทยเริ่มยืนหยัดได้หรืออาจตํ่าลงกว่านี้ได้นิดหน่อย ซึ่งต้องจับตาต่อไปว่าจะมีปัจจัยใดที่สามารถหนุนหุ้นไทยได้อีกครั้ง
ด้าน พีร์ บุญชนะวิวัฒน์ นักลงทุนเจ้าของเพจ Peace of Mind Trader ตั้งข้อสังเกตว่า ไม่ว่าตลาดหุ้นไทยจะฟื้นตัวแบบในช่วงปลายปี 2022 หรือจะส่อแววหดตัวเหมือนในช่วงนี้ นั้นไม่สำคัญ เพราะจะมีหุ้นในตลาดที่ Outperform อยู่เสมอ ทั้งด้านราคาและงบการเงิน ทำให้เรายังสามารถหาผลตอบแทนได้ ไม่ว่าตลาดจะเป็นทิศทางใดก็ตาม