SCBS ได้รวบรวมข้อมูลกำไรสุทธิรอบผลประกอบการไตรมาส 2/63 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) จำนวนทั้งสิ้น 600 แห่ง พบว่ามีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้นที่ 1.16 แสนล้านบาท ลดลง 47.2%YoY หรือลดลง 1.02 แสนล้านบาท จากระดับ 2.18 แสนล้านบาทในไตรมาส 1/62
สำหรับ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จำนวนกำไรสุทธิลดลงมากที่สุด ได้แก่
- กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 2.7 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 47%YoY โดยได้รับผลกระทบจากอุปสงค์ของพลังงานที่ลดลงตาม โดยเฉพาะน้ำมันเบนซิน น้ำมันอากาศยาน และก๊าซธรรมชาติ โดยมีสาเหตุมาจากการล็อกดาวน์เพื่อลดการแพร่ระบาดของโควิด-19
- กลุ่มธนาคารพาณิชย์ มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 3.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 2.2 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 41%YoY โดยถูกกดดันจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงโดยเฉลี่ย 28 bps QoQ หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทยปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง รวมถึงการตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในไตรมาส 2/63 เพื่อรองรับผลกระทบจากโควิด-19
- กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ มีผลขาดทุนสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท ลดลง 1.5 หมื่นล้านบาท หรือลดลง 427%YoY จากมีกำไรสุทธิไตรมาส 1/62 ที่ 3.4 พันล้านบาท โดยได้แรงกดดันจากมาตรการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้จำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศของผู้ประกอบการสายการบินหายไป รวมถึงจำนวนการเดินทางในประเทศที่ลดลง เนื่องจากประชาชนเลี่ยงการเดินทางออกนอกบ้านท่ามกลางความกังวลด้านการแพร่ระบาดของโควิด-19
- กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 5.8 พันล้านบาท ลดลง 8.1 พันล้านบาท หรือลดลง 58%YoY โดยถูกกดดันจากกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยของกลุ่มชนชั้นกลางที่ลดลง รวมถึงการชะลอเปิดตัวโครงการใหม่ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม นอกจากนี้ยอดโอนที่ดินของกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมยังถูกเลื่อนออกไปเนื่องจากการระงับเที่ยวบินเชิงพาณิชย์ระหว่างประเทศ ทำให้นักลงทุนไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำสัญญาได้
- กลุ่มค้าปลีก มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 5.4 พันล้านบาท ลดลง 8.1 พันล้านบาท หรือลดลง 60%YoY เนื่องจากยอดขายสาขาเดิม (SSS) ที่หดตัวลงหลังจากรัฐบาลบังคับใช้มาตรการเคอร์ฟิวในช่วงกลางคืน ทำให้ต้องปิดร้านค้าในช่วงเวลาดังกล่าว รวมถึงประชาชนเลี่ยงการออกจากการบ้านมากขึ้น และการเลื่อนวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ทำให้ประชาชนใช้จ่ายน้อยลง
สำหรับ 5 กลุ่มอุตสาหกรรมที่จำนวนกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่
- กลุ่มวัสดุก่อสร้าง มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 1.4 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 46%YoY เนื่องจากต้นทุนพลังงานและค่าบำรุงรักษาที่ลดลงส่งผลทำให้อัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น รวมถึงการยกเลิกวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์ ทำให้กิจกรรมการก่อสร้างสามารถดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง
- กลุ่มบรรจุภัณฑ์ มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 2.1 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.0 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 93%YoY โดยได้ปัจจัยบวกจากต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนพลังงานที่ต่ำลงส่งผลให้อัตรากำไรกว้างขึ้น รวมถึงอุปสงค์ของสินค้าบรรจุภัณฑ์อาหารที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากประชาชนมีความกังวลด้านสุขอนามัยมากขึ้นท่ามกลางการแพร่ระบาดของโควิด-19
- กลุ่มของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 913 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 353%YoY เนื่องได้แรงหนุนจากยอดขายสินค้าในกลุ่มสินค้าถุงมือยางที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ความต้องการใช้งานถุงมือยางเพิ่มขึ้น
- กลุ่มธุรกิจการเกษตร มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 885 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 105%YoY โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจากราคาหมูในภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น หลังจากอุปทานหมูลดลงโดยมีสาเหตุจากการระบาดของโรคอหิวาต์แอฟริกาในหมู (ASF) ในประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงอุปสงค์เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นหลังจากการผ่อนปรนมาตรการล็อกดาวน์ จึงเป็นสาเหตุให้ราคาหมูเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และปัจจัยหนุนต่ออัตรากำไรของบริษัท
- กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/63 อยู่ที่ 2.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 862 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 47%YoY เนื่องจากยอดขายในกลุ่มสินค้า Cloud Storage และ Data Center มีความต้องการมากขึ้นในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีขึ้นจากสัดส่วนสินค้ายอดขายที่ให้อัตรากำไรสูงเพิ่มขึ้น และการควบคุมค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น
ข้อมูลเพิ่มเติม:
%YoY คือเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
อ้างอิง: ข้อมูลจาก SET และ Bloomberg ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2563
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์
