1 รุ่นพี่ – 4 รุ่นน้อง
6 จักรดาวบนแผงอำนาจประเทศไทย
‘วีรบุรุษนาแก’ คือฉายา และ ‘การปราบทุจริต-คดีดังอย่างเที่ยงตรง’ คือภาพจำของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมตำแหน่งทางการเมืองที่เริ่มในปี 2561 คือหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และประกาศตัวเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในการเลือกตั้งปี 2562 และ 2566
สกุลเตมียเวสได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2457 เลขสกุลลำดับที่ 2,081
หลังภรรยาของเสรีเจ็บป่วยต่อเนื่อง ผู้ใหญ่ที่เคารพแนะนำให้คู่สามี-ภรรยาเปลี่ยนชื่อ-เปลี่ยนชะตา เป็นที่มาให้ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2545 มีการเปลี่ยนชื่อจาก ‘เสรี’ เป็น ‘เสรีพิศุทธ์’
บทความที่เกี่ยวข้อง
- คอลัมน์พิเศษ PEOPLE IN POLITICS
-
อดีตของปัจจุบัน ‘ประยุทธ์ จันทร์โอชา’ กับ 13 ปี ในวงอำนาจประเทศไทย
-
เกาะติดข่าว เลือกตั้ง 2566 ล่าสุด ข้อมูลพรรคการเมือง รายงานสดผลเลือกตั้ง ได้ที่ เว็บไซต์ เลือกตั้ง 2566
ในแวดวงการเมือง มีพงศาวดารกระซิบต่อกันว่า พัสวีศิริ เตมียเวส ภรรยาของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ คือตัวแทนของเสรีและมือเจรจากับพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงปลายปี 2565 ต่อต้นปี 2566 ในวงเจรจานี้มีทั้งข้อเสนอรวมพรรคและเป็นพันธมิตรในวันข้างหน้า
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนทวีธาภิเษก เข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่น 8 และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่น 24 เมื่อไล่ลำดับแผงอำนาจประเทศไทย นั่นทำให้เขาเป็นรุ่นน้องของ พล.อ. ประวิตร ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คนที่ 34 และรองนายกรัฐมนตรี เตรียมทหาร รุ่น 6
เป็นรุ่นพี่ของ พล.ต.อ. พัชรวาท ผบ.ตร. เตรียมทหาร รุ่น 9, พ.ต.ท. ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี เตรียมทหาร รุ่น 10, พล.อ. อนุพงษ์ ผบ.ทบ. คนที่ 36 และรัฐมนตรีมหาดไทย เตรียมทหาร รุ่น 10 และ พล.อ. ประยุทธ์ ผบ.ทบ. คนที่ 37 และนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน เตรียมทหารรุ่น 12 ซึ่งมีวิวาทะ ‘ตัดพี่ตัดน้อง’ ในเวลาต่อมา
‘โกวิท-เสรีพิศุทธ์-พัชรวาท’ 3 ผบ.ตร. ในรอยต่ออำนาจ
จากรัฐบาลสุรยุทธ์ สู่รัฐบาลสมัคร ถึงรัฐบาลสมชาย
กว่าจะก้าวขึ้นเป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ โดนสกัดจากทักษิณ ด้วยหวังปูทางให้ พล.ต.อ. เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายคุณหญิงพจมานขึ้นเป็น ผบ.ตร. แรงปะทะทั้งสองฝั่งนำไปสู่การยื่นฟ้องในศาล
หลังรัฐประหารปี 2549 เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้ว พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ก้าวขึ้นเป็น ผบ.ตร. ทว่าการรักษาตำแหน่งจนเกษียณอายุราชการนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก
เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 พล.อ. สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 25/2550 โยก พล.ต.อ. โกวิท วัฒนะ ไปประจำที่สำนักนายกรัฐมนตรี ขยับชั้น พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ที่ปรึกษาสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สบ 10) อาวุโสอันดับ 1 ของไลน์อำนาจ ขึ้นเป็นรักษาการแทน ผบ.ตร.
นั่นเป็นผลจากการที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กังขาในตัว พล.ต.อ. โกวิท ทั้งเพราะมีตราประทับตระกูลชินวัตรอยู่เด่นชัด และเพราะผลจากการแต่งตั้งโยกย้าย พบว่านายตำรวจที่ใกล้ชิดกลุ่มอำนาจเก่ายังคงเติบโตตามปกติและมีน้อยรายโดนโยกย้ายจากตำแหน่งเดิม
รายงานชิ้นหนึ่งของไทยโพสต์เล่าถึงบรรยากาศในสำนักงานตำรวจแห่งชาติวันที่มีคำสั่งย้ายออกไว้อย่างระทึกใจ “คำสั่งดังกล่าวสร้างความมึนงงให้กับ พล.ต.อ. โกวิท และนายตำรวจที่ใกล้ชิด เป็นอย่างมาก และไม่เชื่อว่าจะมีการปลดจริง
“เพราะหากถูกปลดจริง พล.อ. สุรยุทธ์ ต้องยกหูมาคุยก่อน แต่นี่ไม่มีโทรศัพท์มา จึงเชื่อว่าเป็นขบวนการปล่อยข่าว และเป็นไปไม่ได้ที่จะมาปลดผ่านสื่อ ผิดกับบรรยากาศที่บริเวณหน้าห้องของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกัน มีนายตำรวจไปออกันอยู่หลายคนเช่นกัน”
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ตอบสนองต่อออร์เดอร์การเมืองอย่างไม่รอช้า ประเดิมด้วยการโยกย้ายสลายขั้วอำนาจเดิม เร่งสะสางคดีระเบิดในกรุงเทพฯ คดีระเบิดสำนักพิมพ์เดลินิวส์ และคดีเผาโรงเรียนในหลายจังหวัด
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร. เต็มตัวในเดือนกันยายน ปี 2550 ให้หลังจากนั้น 4 เดือน สมัคร สุนทรเวช จากพรรคพลังประชาชน พรรคการเมืองในเครือชินวัตร ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันที่ 29 มกราคม 2551
เมื่อขึ้นสู่อำนาจได้เพียงสัปดาห์เดียว นายกฯ สมัคร ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี 34/2551 แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ 3 ข้อหา
ข้อหาที่ 1 คือ ดำเนินโครงการเช่ารถยนต์ใช้งบประมาณรวมเป็นเงินทั้งสิ้น 9,899,578,200 บาท โดยมีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริต
ข้อหาที่ 2 คือ สั่งการโดยใช้ถ้อยคำที่มิบังควรและไม่เหมาะสมในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน
ข้อหาที่ 3 คือ ออกคำสั่งแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ พ.ต.อ. ตำแหน่งผู้กำกับการ (ผกก.) ฝ่ายปฏิบัติการที่ 1-10 ในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่มีกฎหมายรองรับตำแหน่ง
ทั้งมีคำสั่งให้ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ มาปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี และให้ พล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ รอง ผบ.ตร. เป็นผู้รักษาราชการแทนในตำแหน่ง ผบ.ตร.
ต่อมานายกฯ สมัคร ยังลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 71/2551 ตั้งกรรมการสอบสวน พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เพิ่มเติมอีก 4 ข้อหา
ข้อหาที่ 1 กล่าวหาว่า มีการทุจริตเงินงบประมาณที่ใช้ในการสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในโครงการรับซื้อลำไย ปี 2547
ข้อหาที่ 2 กล่าวหาว่า มีการทุจริตในการจัดซื้อรถจักรยานยนต์ตามโครงการจัดซื้อรถจักรยานยนต์สายตรวจขนาด 200 ซีซี จำนวน 19,147 คัน
ข้อหาที่ 3 กล่าวหาว่า ภูไพรธารน้ำ รีสอร์ท ของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ที่อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ถมหินขนาดใหญ่และเล็ก ดิน กรวด รวมทั้งทราย จำนวนมากล่วงล้ำเข้าไปในแม่น้ำแควน้อย แล้วยึดถือครองที่ดินที่บุกรุกแม่น้ำแควน้อย
ข้อหาที่ 4 กล่าวหาว่า พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ สั่งการให้กองบินตำรวจจัดอากาศยานชนิดเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้สนับสนุนภารกิจ ผบ.ตร. เดินทางไปพักผ่อนและดูแลกิจการที่รีสอร์ทเป็นการส่วนตัวในวันหยุดราชการ
ถึงที่สุดยังลงนามในคำสั่งที่ 73/2551 ให้ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ออกจากราชการไว้ก่อน และต่อมายังตั้งกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรงกับ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เพิ่มเติม พร้อมให้แจ้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติให้พิจารณาดำเนินคดีกับ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
กระทั่งวันที่ 22 พฤษภาคม 2551 สำนักราชเลขาธิการส่งหนังสือตอบกลับมายังเลขาธิการคณะรัฐมนตรีว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ พ้นจากตำแหน่ง ผบ.ตร. เป็นอันปิดฉากตำแหน่งสูงสุดในชีวิตราชการ ก่อนที่อีกหนึ่งทศวรรษต่อมาเขาจะโลดแล่นในสนามการเมือง
เมื่อ พล.ต.อ. พัชรวาท รอง ผบ.ตร. ขึ้นผงาดรักษาการ และได้รับโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 มิถุนายน 2551 พร้อมมีผลย้อนหลังตั้งแต่วันที่ 8 เมษายนปีเดียวกันเป็นต้นมา
พล.ต.อ. พัชรวาท ใช้อำนาจในมือเอาคืน พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ในหลายฉากหลากจังหวะ โดยเฉพาะยกเลิก 26 คำสั่งโยกย้ายแต่งตั้ง โดยให้เหตุผลชัดว่าเป็นการโยกย้ายที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
รัฐบาลสมัครจากไปด้วยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญในคดีชิมไปบ่นไป ทักษิณเคาะชื่อน้องเขยอย่าง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี
รัฐบาลสมชายเผชิญกับการชุมนุมของม็อบเสื้อเหลืองตลอดช่วงการดำรงตำแหน่ง ในจังหวะนั้น พล.ต.อ. พัชรวาท ร่วมมือกับผู้นำเหล่าทัพที่มีชื่อ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ในฐานะผู้บัญชาการทหารบกและน้องรักของพี่ชาย พล.อ. ประวิตร เรียกร้องให้นายกฯ สมชาย ลงจากอำนาจ
เมื่อม็อบเสื้อเหลืองปิดล้อมสนามบินสุวรรณภูมิและท่าอากาศยานดอนเมือง และ พล.ต.อ. พัชรวาท ไม่ลงมือจัดการจริงจัง เป็นที่มาให้นายกฯ สมชาย ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 305/2551 ลงวันที่ 28 พศจิกายน 2551 ให้ พล.ต.อ. พัชรวาท ไปช่วยราชการที่สำนักงานนายกรัฐมนตรี และแต่งตั้ง พล.ต.อ. ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาการแทนตำแหน่ง ผบ.ตร.
ถึงที่สุดศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชน กลุ่มเพื่อนเนวินย้ายขั้วหนุน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้พี่น้อง 3 ป. กลับสู่ไลน์อำนาจครบถ้วน ปรากฏชื่อ พล.อ. ประวิตร ในตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหม ตามด้วย ชวรัตน์ ชาญวีรกูล รักษาการนายกรัฐมนตรี ลงนามในคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 325/2551 ให้ พล.ต.อ. พัชรวาท กลับไปปฏิบัติหน้าที่ ผบ.ตร.
แม้ชะตากรรมของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ดูจะดิ่งหนักหนาถึงเพียงนั้น ทว่าวันที่ 3 ธันวาคม 2558 ศาลปกครองกลางออกบัลลังก์อ่านคำพิพากษาว่า การที่นายกรัฐมนตรี (สมัคร) มีคำสั่งให้ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ไปปฏิบัติราชการที่สำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึงการที่นายกรัฐมนตรีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ออกจากราชการไว้ก่อน เป็นการใช้อำนาจออกคำสั่งภายใต้ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ความสง่างามบนเส้นทางอำนาจกลับคืนสู่อดีต ผบ.ตร. รายนี้อีกครั้งหนึ่ง
พรรคเสรีรวมไทยคว้าชัยการเลือกตั้ง
ถึงวันประกาศตัดพี่ตัดน้อง ‘เสรีพิศุทธ์-ประยุทธ์’
ในการเลือกตั้งปี 2562 พรรคเสรีรวมไทยคว้าชัยชนะกว่า 8 แสนเสียง ได้ ส.ส. 10 ที่นั่งในสภา พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ก้าวขึ้นเป็นประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ มีผลงานโดดเด่นต่อเนื่อง สามารถนำคดีดังไปจบที่ชั้นศาลได้ โดยเฉพาะการวินิจฉัยคุณสมบัติของ สิระ เจนจาคะ จนพ้นสภา
ในวันที่ 25 กรกฎาคม 2562 บนเวทีแถลงนโยบายของรัฐบาลต่อสภา พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ได้ลุกขึ้นอภิปรายคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีว่า มีการโกงการเลือกตั้งจนได้เป็นรัฐบาล
“ครั้งแรกปล้น ครั้งที่สองโกงเขามา ผมไม่เชื่อ เพราะว่าผมเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ท่านเป็นนักเรียนเตรียมทหาร พล.อ. ประวิตร เป็นนักเรียนเตรียมฯ รุ่นพี่ ผมบอกประชาชนว่าผมไม่เชื่อหรอก เพราะโรงเรียนไม่สอนให้โกงหรอก” นำไปสู่วิวาทะตัดพี่ตัดน้องระหว่างรุ่นพี่-รุ่นน้องโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งห่างกันเพียง 4 รุ่น
พล.อ. ประยุทธ์ ลุกตอบโต้รุ่นพี่ในวันนั้นว่า “เรารู้จักกันมานาน ท่านเป็นรุ่นพี่ผม แต่งงานวันเดียวกัน แต่วันนี้ไม่ถือว่าเป็นรุ่นพี่อีกแล้ว เพราะท่านไม่ให้เกียรติผม เคยพูดว่าจะชักปืนยิงผม ถ้ายิงจริงท่านก็ติดคุกไปแล้ว ท่านพูดจาหยาบคาย เหรียญรามาผมก็ได้ แต่ไม่เคยอวดอ้างอำนาจ ให้ไปทบทวนตัวเอง”
ประยุทธ์-ตัวหลัก ประวิตร-ตัวรอง
เปิดช่องจับมือจัดตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้ง 66
ในสนามเลือกตั้งเวลานี้มีเพียงพรรคก้าวไกลและพรรคไทยสร้างไทยที่ประกาศชัดว่า จะไม่จับมือพี่น้อง 3 ป. จัดตั้งรัฐบาลอย่างเด็ดขาด ขณะที่พรรคเพื่อไทยประกาศขอแลนด์สไลด์ จัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียว ทว่า พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ตอบคำถามบนสภาพการเมืองจริงของประเทศตามสไตล์คนจริงไปเมื่อวันก่อนว่า
นักข่าว: มีกระแสข่าวว่า พรรคเพื่อไทยอาจจับมือกับพรรคพลังประชารัฐและพรรคเสรีรวมไทย สามารถร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐได้หรือไม่ในอนาคต
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์: ผมต่อต้านรัฐประหาร ถ้าเรามองให้ลึกจริง คุณประวิตรเกษียณตั้งหลายปีแล้ว ไม่มีปัญญาจะมายึดอำนาจหรอก คุณอนุพงษ์ก็หลายปีแล้ว ไม่มีปัญญามาทำรัฐประหาร ต้องคนที่อยู่ในอำนาจเท่านั้น คนที่คุมกำลัง คนที่มีอาวุธเท่านั้น เพราะฉะนั้นการรัฐประหารคราวที่แล้วถ้าคุณประยุทธ์ไม่ทำ คุณประวิตรกับคุณอนุพงษ์ก็ทำไม่ได้
เพราะฉะนั้นคุณประยุทธ์เป็นตัวหลัก ตัวเผด็จการที่แท้จริงที่ยึดอำนาจ แล้วก็ไปชวนพี่ๆ เขามาช่วย สองคนนั้นก็ถือว่ามาช่วยน้อง
ดังนั้นผมจะต่อต้านไอ้ตัวหลักๆ คุณประยุทธ์ไม่ต้องพูดกันหรอก ทะเลาะกันให้ตายไปข้างหนึ่ง ส่วนคุณประวิตรไม่ใช่ตัวหลัก ก็คิดว่าถ้าเผื่อจะร่วมกันก็ร่วมได้
ในการเลือกตั้งครั้งนี้ผมเรียนตรงๆ ว่า ถ้าประยุทธ์เป็นรัฐบาล ผมก็ยอมเป็นฝ่ายค้าน แต่ถ้าเพื่อไทย ก้าวไกล หรือพลังประชารัฐ ก็สามารถร่วมกันได้” (สัมภาษณ์ ณ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2566)
นี่คือบทสัมภาษณ์ของ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ อดีต ผบ.ตร. ผู้ตัดสินใจโลดแล่นในสนามการเมือง ทว่าบนถนนสายนี้มองไปทางไหนก็พบพานแต่พี่น้องโรงเรียนเตรียมทหาร โดยเฉพาะ 1 รุ่นพี่ – 4 รุ่นน้อง เป็นจักรดาว 6 ดวงเด่น ซึ่งล้วนอยู่บนแผงอำนาจของประเทศไทยในเวลานี้