วานนี้ (20 กรกฎาคม) รายการ THE STANDARD NOW สัมภาษณ์ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ส.ส. บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ดำเนินรายการโดย อ๊อฟ-ชัยนนท์ หาญคีรีรัตน์ ถึงประเด็นการเสนอพรรคก้าวไกลเป็นฝ่ายค้าน
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เผยว่า ตอนนี้เป็นหน้าที่ของพรรคเพื่อไทยที่จะเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคก้าวไกล ซึ่งพรรคเพื่อไทยจะต้องเอาพรรคก้าวไกลมาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วย แต่เหตุการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว เนื่องจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) หลายคนได้อภิปรายชัดเจนว่า ‘ถ้ามีพรรคก้าวไกลจะไม่โหวตลงคะแนนให้’ แล้วพรรคเพื่อไทยจะคิดอย่างไร ยิ่งสามารถเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ ได้ครั้งเดียว ยิ่งต้องตัดสินใจละเอียดมากขึ้น
“ฉะนั้นจะต้องมีใครเสียสละ ก้าวไกลต้องเสียสละ บางคนไม่เข้าใจ ไปหาว่าผมผลักก้าวไกลไปฝ่ายค้าน ไม่ใช่หรอก เพราะเดี๋ยวจะจมน้ำตายไปด้วยกัน” พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ระบุว่า หากพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยจะเป็นพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน ตนเองก็มีสูตรหรือวิธีการที่สามารถทำได้ กล่าวคือพรรคก้าวไกลต้องยอมถอยให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลและเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ จากนั้นเมื่อพรรคเพื่อไทยจัดการเสร็จและที่ประชุมโหวตเห็นชอบให้เป็นนายกฯ เรียบร้อย พรรคเพื่อไทยจึงจะไปดึงพรรคก้าวไกลมาร่วมรัฐบาล
และขอย้ำว่า ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะไปเอาพรรคไหนมาร่วมรัฐบาลก็ตาม แต่ต้องมีพรรคก้าวไกลร่วมรัฐบาลด้วย ซึ่งก้าวไกลต้องร่วมโหวตให้เพื่อไทยด้วย ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถเกิดสูตรดังกล่าวได้
ส่วนพรรคก้าวไกลจะเชื่อใจในสูตรนี้ได้หรือไม่นั้น พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ มองว่า ก็อยู่ที่พรรคก้าวไกลว่าอยากจะเป็นศัตรูกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ซึ่งสูตรที่ตนเองเสนอเป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว ฉะนั้น “ไม่เชื่อคนแก่อย่างผม แล้วจะเชื่อใคร ผมมีประสบการณ์เยอะ”
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ กล่าวอีกว่า เตรียมทำเรื่องส่งศาลรัฐธรรมนูญในกรณีผิดข้อบังคับการประชุมรัฐสภาข้อที่ 41 ที่ทำให้ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่ได้รับการเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีซ้ำ เนื่องจากมองว่าข้อบังคับดังกล่าวไม่สามารถอยู่เหนือหรือใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญได้ โดยอยู่ในกระบวนการเขียนญัตติและรวบรวมรายชื่อ ก่อนเสนอประธานรัฐสภา และส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
ซึ่งจะทำในลักษณะเดียวกับกรณี สิระ เจนจาคะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ขยายความอีกว่า “ขนาดสมองของผมยังดูออกว่าขัด (รัฐธรรมนูญ) แล้วทำไมศาลรัฐธรรมนูญจะดูไม่ออก ไม่รู้เรื่อง มันง่าย ฉะนั้นขอให้ร่วมมือกับผมด้วย จะได้มีบทพิสูจน์ให้ชัดเจนว่ามตินี้เห็นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ถ้าบอกไม่ชอบด้วยกฎหมาย มติที่เกิดขึ้น (19 กรกฎาคม) ก็ไม่มีผลผูกพัน”
พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เผยถึงสาเหตุที่ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติ ส.ส. ว่าเป็นเพราะการเดินเกมที่ผิดพลาดและขาดประสบการณ์ ซึ่งมีบทเรียนจากกรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ทั้งนี้ ตนเองทราบอยู่แก่ใจว่าโอกาสรอดคงเป็นไปได้ยาก แต่ก็ไม่สามารถโทษอะไรได้
นอกจากนี้ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ ได้ฝากถึงผู้สนับสนุนหรือกองเชียร์พรรคก้าวไกลในกรณีที่กลุ่มดังกล่าวมองว่าตนเองใช้คำพูดไม่เหมาะสมว่า
“เวลาผมแสดงความคิดเห็น ผมก็ไม่ได้ยุ่งกับกองเชียร์ก้าวไกล จะมาจูงจมูกผมได้อย่างไร ผมไม่ใช่วัวไม่ใช่ควายนะ คุณจูงจมูกใครได้คุณก็จูงไป แต่อย่ามาจูงจมูกผม ผมอายุ 75 ปีแล้วนะ มากกว่าพ่อพวกคุณอีก ผมมีผลงานจนทำให้เป็นวีรบุรุษนาแก คุณเกิดมาก็มีความสุข ความสบาย ไม่เคยเหนื่อย ไม่เคยเสี่ยงชีวิต ทัวร์ไปลงที่ไหนเขากลัวคุณก็กลัวไป แต่คนอย่างผม คุณรู้จักผมน้อยเกินไป”