วันนี้ (16 มิถุนายน) ที่อาคารรัฐสภา พล.อ. สวัสดิ์ ทัศนา สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา พร้อมด้วย พล.อ. เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่ 1 ร่วมแถลงถึงจุดยืนของประเทศไทย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาติกรณีราชอาณาจักรกัมพูชารุกรานอธิปไตย และมีมาตรการห้ามนำเข้าสินค้าจากประเทศไทย
พล.อ. สวัสดิ์ อ่านแถลงการณ์คณะกรรมาธิการการทหารฯ ฉบับที่ 2 เรื่อง ขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภา ตอนหนึ่งว่า จากเหตุการณ์การกระทบกระทั่งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา รวมถึงผลการประชุมคณะกรรมาธิการ เขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (JBC: Joint Boundary Commission) เมื่อวันที่ 15 มิถุนายนที่ผ่านมา ออกมาไม่ค่อยเป็นผลดีกับทางไทยเรานัก
ทางกรรมาธิการการทหารฯ สว. เห็นว่า ฝ่ายกัมพูชาไร้ความจริงใจ และบ่อนทำลายประเทศไทยด้วยสารพัดวิธี เพื่อหวังครอบครองแผ่นดินไทยเป็นของตนเองเรื่อยมา ซึ่งกรรมาธิการเคยออกแถลงการณ์ฉบับแรก ประณามการกระทำดังกล่าวของฝ่ายกัมพูชาไปแล้วเมื่อวันที่ 6 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกับรอผลการประชุม JBC ครั้งที่ 6 ที่กรุงพนมเปญ ระหว่างวันที่ 14-15 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งการถกแถลงเพื่อรักษาแผ่นดินไทย เป็นการเน้นย้ำว่า ปราสาททั้งหลายที่อยู่บริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ล้วนอยู่ในความครอบครองของไทยที่เป็นเจ้าของมาหลายร้อยปี ไม่ว่าจะเป็นปราสาทเขาพระวิหาร ปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาควาย ฯลฯ แต่การที่เราแพ้คดีในศาลยุติธรรมระหว่างประเทศหรือศาลโลกถึงสองครั้ง มาจากความไม่เที่ยงธรรมที่เกิดขึ้น ดังนั้น เราจะไม่ยอมเสียดินแดนในศาลโลกเป็นครั้งที่ 3 อีกแล้ว
“เพราะเวลานี้หัวใจของประชาชนคนไทย ยอมรับแล้วว่าผู้นำรัฐบาลด้อยความสามารถ ขาดภาวะผู้นำ แม้จะมีความสัมพันธ์ระหว่างครอบครัวกับฝ่ายกัมพูชา แต่ไม่ได้ช่วยให้รัฐบาลไทยพูดจาอะไรได้สำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว คนไทยต้องทนฟังคำพูดอันแข็งกร้าว ระคายเคืองหัวใจ ไม่เว้นแต่ละวัน ขณะเดียวกันก็รอฟังเสียงตอบโต้จากผู้นำรัฐบาลตลอดเวลา แต่ก็ผิดหวังเสมอ ขณะที่กัมพูชามีผู้บริจาคเงินเข้ากองทุนชาตินิยม แต่ผู้นำรัฐบาลกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ คงคล้ายเรื่องเล่ากันขำๆ ที่ว่ารัฐบาลกัมพูชาปลุกใจคนเขมรให้รักชาติ แต่ที่เมืองไทย ประชาชนคนไทยกลับต้องออกมาบอกให้รัฐบาลรักชาติ และยังมีคนนอกรัฐบาลเหยียบย่ำซ้ำเติมด้วยการบอกว่า ให้เปลี่ยนการยิงกันเป็นการเตะตะกร้อกัน เพราะพื้นที่ตรงนั้นมีแต่ป่า ทำเป็น No Man’s Land ดีกว่า ซึ่งแน่นอน ผู้นำรัฐบาลคงไม่รู้ว่า แผ่นดินไทยตรงนั้น บรรพบุรุษของเราเอาเลือดทาแผ่นดินไว้ และผู้ใหญ่ในรัฐบาลก็ยังขานรับคำว่า No Man’s Land อีกด้วย หลายเรื่องที่รัฐบาลควรทำหรือต้องทำแต่ไม่ทำ บางครั้งผู้นำรัฐบาลก็พูดเหมือนเข้าข้างกัมพูชา จนมีข้อสงสัยเคลือบแคลงจากประชาชนว่า เรามีผู้นำรัฐบาลเป็นคนเขมรหรืออย่างไร แล้วจะแก้ปัญหาหรือทำอย่างไรต่อไป”
พล.อ. สวัสดิ์ ระบุต่อว่า หลังจากที่วุฒิสภาออกแถลงการณ์ เรียกร้องไปยังรัฐบาลเปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญเพื่อให้รัฐบาลแถลงข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว และร่วมแก้ไขปัญหาทั้งหมด ตั้งแต่เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่จนถึงวันนี้ยังไม่มีคำตอบจากรัฐบาล หรือสัญญาณของความร่วมมือกับวุฒิสภาเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าวแต่อย่างใด
ดังนั้น กรรมาธิการจึงต้องอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 153 กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภาจำนวนไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมด เข้าชื่อขอเปิดอภิปรายทั่วไปในวุฒิสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงข้อเท็จจริงหรือชี้แจงปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินโดยไม่มีการลงมติ เพื่อเปิดโอกาสให้ สว. เสนอแนวคิด และแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อให้รัฐบาลได้นำไปเป็นข้อพิจารณาประกอบการตัดสินใจโดยเร็วต่อไป
การที่ผู้นำรัฐบาลเพิกเฉยไม่โต้ตอบฝ่ายกัมพูชา และไม่กำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาที่ชัดเจน ทำให้การประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา ครั้งที่ 6 ที่ผ่านมา ล้มเหลว ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ กับฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชายังฉวยโอกาส ออกแถลงการณ์บิดเบือนข้อเท็จจริงที่จะนำเรื่องพื้นที่พิพาท 4 จุด เข้าสู่การพิจารณาของศาลโลก
นอกจากนี้ ยังฉกฉวยโอกาส เช่น การเรียกร้องนานาชาติกดดันให้ไทยยอมรับอำนาจของศาลโลก การแถลงอย่างแข็งกร้าวไม่ยอมรับการประชุมทวิภาคี การกีดกันสินค้าและภาพยนตร์ไทย การเรียกแรงงานกัมพูชากลับประเทศ โดยปลุกระดมว่าอาจถูกฝ่ายไทยกลั่นแกล้งทำร้าย ตลอดจนความอ่อนด้อยในเกมการเมืองระหว่างประเทศของผู้นำรัฐบาลไทย ความล่าช้าของนโยบายที่ทำให้การปฏิบัติของผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องไม่ทันเวลา ล้วนเป็นสิ่งที่ทำให้ประชาชนสิ้นศรัทธาในผู้นำรัฐบาล
“การที่นายกรัฐมนตรีขาดความน่าเชื่อถือ ส่งผลกระทบในทางลบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อ ครม. โดยเฉพาะปัญหาดังกล่าวซึ่งกระทบต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของไทย หากปล่อยปละละเลยให้นายกรัฐมนตรี และ ครม. ดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้ตามอำเภอใจ อาจทำให้อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของไทยถูกรุกล้ำและยึดครอง จึงเห็นสมควรให้วุฒิสภาเปิดอภิปรายทั่วไปฯ ดังกล่าวโดยเร็วที่สุด โดยกรรมาธิการจะมีหนังสือกราบเรียนประธานวุฒิสภาต่อไป” พล.อ. สวัสดิ์ ระบุในแถลงการณ์
ด้าน พล.อ. เกรียงไกร กล่าวถึงการขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อหารือถึงกรณีข้อพิพาทชายแดนไทยกัมพูชาที่ผ่านมา ซึ่งรัฐบาลปฏิเสธโดยระบุว่าไม่มีความจำเป็น แต่เราเห็นว่าหากรัฐบาลได้รับฟังสมาชิกรัฐสภา จะทำให้รัฐบาลได้ข้อมูลอย่างรอบด้าน และเก็บเกี่ยวข้อมูลเหล่านั้นไปแสวงหาข้อตกลงใจ และกำหนดแนวทางในการแก้ไขข้อพิพาทที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว และสามารถออกเป็นนโยบายให้หน่วยปฏิบัตินำไปปฏิบัติได้อย่างชัดเจน โดยรัฐบาลจะมีหลังพิง คือเสียงของสมาชิกทั้ง 2 สภา หากเราเปิดอภิปรายของรัฐสภา
พล.อ. เกรียงไกร กล่าวต่อไปว่า ทั้งนี้ การแก้ไขปัญหาข้อพิพาทไม่ใช่เฉพาะกรณีที่อำเภอน้ำยืน จังหวัดอุบลราชธานี แต่ยังมีแนวพรมแดนที่มองว่าต้องใช้การพูดคุยแบบทวิภาคี ทั้ง RBC, JBC และ GBC ซึ่งการขอเปิดอภิปรายทั่วไปของวุฒิสภาต้องใช้เสียง 1 ใน 3 ดำเนินการ โดย ครม. ต้องส่งรัฐมนตรีเข้าร่วมประชุม ไม่สามารถปฏิเสธได้ ทั้งนี้ในกระบวนการอาจจะต้องขอให้ ครม. ตกลงเรื่องวันและเวลาเท่านั้น ซึ่งย้ำว่ามีความจำเป็นเพื่อให้ สว. ได้มีข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่อแนวทางการแก้ไขปัญหา และให้รัฐบาลสามารถนำไปกำหนดเป็นนโยบายการปฏิบัติหน้าที่หน้าแนวซึ่งไม่เฉพาะทหาร แต่ยังพลเรือนและฝ่ายปกครองด้วย ซึ่งจำเป็นจะต้องกำหนดให้มีความเป็นเอกภาพ