วันนี้ (14 ตุลาคม) ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภานัดพิเศษ เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่เสนอโดย 3 พรรคการเมือง เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกวุฒิสภา (สว.) อภิปรายว่า ภายหลังรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ มีความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ 26 ร่าง มีผ่านเพียง 1 ร่าง คือ ร่างแก้ระบบเลือกตั้ง ที่เหลือ 25 ร่างตกหมด ในจำนวนนี้มี 11 ร่างที่ผ่านเกณฑ์กึ่งหนึ่งของรัฐสภา แต่ไม่ผ่าน 1 ใน 3 ของเสียง สว. ชุดที่แล้ว จนถูกขนานนามว่าเป็น ‘องครักษ์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ’ แต่ด้วยเนื้อนาบุญของ สว. ชุดปัจจุบัน ทำให้เชื่อว่า จะสามารถเปิดประตูสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่พยายามมาตั้งแต่ปี 2550
เทวฤทธิ์ชี้ว่า ทั้ง 3 ร่าง ไม่ได้มีส่วนขัดกันเรื่องที่มาของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) และพยายามหาทางอ้อมเรื่องที่รัฐสภาไม่อาจให้ประชาชนเลือกตั้ง สสร. ได้โดยตรง แต่เราพยายามน้อยไปหรือไม่ คำวินิจฉัยส่วนนั้นเป็นความเห็นแถม ไม่ใช่คำถามที่รัฐสภาส่งไปด้วยซ้ำ หากพิจารณาคำวินิจฉัยทั้งย่อหน้า จะเห็นว่า อำนาจในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ไม่สามารถทำได้โดยรัฐสภาเพียงลำพัง รัฐสภาสามารถเป็นผู้ริเริ่มหรือแสดงความต้องการให้ สสร. มาจากการเลือกตั้งโดยตรงได้ โดยไม่ขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ
“ผมยังหวังว่า เมื่อเรารับหลักการในร่างที่ไม่ล็อกเรื่องการเลือกตั้ง สสร. โดยตรง กรรมาธิการจะพิจารณาเปิดโอกาสให้ประชาชน ในฐานะผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ตามที่คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญระบุไว้ ให้เขามีโอกาสเลือกตั้ง สสร. โดยตรงได้หรือไม่ เราควรจะพยายามมากกว่านี้อีกสักนิด” เทวฤทธิ์กล่าว
นอกจากนี้ หากรัฐสภาหรือกรรมาธิการยังไม่มั่นใจ ยังมีคำถามที่ประชาชนรวมรายชื่อกว่า 200,000 รายชื่อ เมื่อปี 2566 เสนอคำถามไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเปิดเผยคำถามประชามติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ควรใช้คำถามนี้ถามประชาชนเลยว่า ในฐานะเป็นผู้ทรงอำนาจสถาปนารัฐธรรมนูญดั้งเดิม ท่านประสงค์จะให้มี สสร. ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนหรือไม่ เป็นคำถามที่ 3
เทวฤทธิ์กล่าวต่อไปว่า ถึงนาทีนี้ ร่าง พ.ร.บ. ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ยังไม่มีการประกาศใช้ลงราชกิจจานุเบกษา ที่ได้แก้ไขปลดล็อกเรื่องเสียงข้างมาก 2 ชั้น และเรื่องอื่นๆ ต้องถามผู้เสนอร่าง หากจะต้องจัดทำประชามติภายใต้เงื่อนไขนี้ มีประเด็นใดบ้างที่ต้องพิจารณา เรื่องเสียงข้างมาก 2 ชั้น อาจไม่มีปัญหา เพราะจัดประชามติพร้อมวันเลือกตั้ง แต่ต้องยืนยันว่า แม้ร่าง พ.ร.บ. ประชามติฯ เดิม จะไม่ได้กำหนดไว้ แต่ก็ไม่ได้ห้าม จึงต้องยืนยันว่า สามารถเลือกพร้อมกันในวันเลือกตั้งได้
สำหรับกรอบเวลาการจัดทำประชามติหลังมีมติ ครม. ให้มีการจัดทำประชามติตามกรอบเดิมคือ ไม่เร็วไปกว่า 90 วันหลัง มติ ครม. แต่ไม่ช้าไปกว่า 120 วัน ส่วนฉบับที่แก้ไข กำหนดให้ยืดหยุ่นเป็น 60-150 วัน ดังนั้น หากจะมีเลือกตั้งปลายเดือนมีนาคม 2569 รัฐสภาต้องมีมติเสนอให้ ครม. จัดทำประชามติก่อนสิ้นเดือนธันวาคม 2568
ขณะที่ประเด็นการออกเสียงประชามติทางไปรษณีย์ ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ. ประชามติฯ ฉบับเดิมนั้น เห็นว่า คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรทำระเบียบให้ชัด เพราะที่ผ่านมา มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้านอกเขตในปี 2566 กว่า 2 ล้านคน หากไม่มีระบบนี้มารองรับ คนกลุ่มนี้อาจไม่สามารถใช้สิทธิออกเสียงประชามติได้ ซึ่งจะมีนัยสำคัญแน่นอน ดังนั้น เมื่อประชามติจะเป็นวันเดียวกับวันเลือกตั้ง การใช้สิทธิล่วงหน้าก็ควรอำนวยความสะดวกให้ออกเสียงประชามติทางไปรษณีย์ได้ด้วย และนำบัตรมานับที่ส่วนกลางได้เลย เพราะโจทย์เหมือนกันทั้งประเทศ