วันนี้ (8 กันยายน) ในการประชุมวุฒิสภา ครั้งที่ 16 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. … ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว โดย วุฒิชาติ กัลยาณมิตร สว. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา กล่าวนำเสนอผลงานศึกษาร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ซึ่งมีข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ และความเห็นของคณะกรรมาธิการ ดังนี้
- ตามร่างมาตรา 5 เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมองค์ประกอบของคณะกรรมการนโยบายระบบตั๋วร่วม โดยเพิ่มประธานสภาองค์กรของผู้บริโภคเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง อีก 1 ตำแหน่ง เนื่องจากสภาองค์กรของผู้บริโภคมีภารกิจด้านการคุ้มครองผู้บริโภคโดยตรง และเพิ่มจำนวนกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจาก 3 คน เป็น 5 คน เนื่องจากจำนวนที่กำหนดไว้เดิมเห็นว่าน้อยเกินไป
- ตามร่างมาตรา 6 เห็นควรปรับแก้คุณสมบัติเรื่องอายุขั้นต่ำของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติของกฎหมายอื่นที่ปรับคุณสมบัติด้านอายุขั้นต่ำให้ลดลง เช่น มาตรา 160 ประกอบมาตรา 159 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่กำหนดอายุขั้นต่ำของนายกรัฐมนตรีไว้ที่ 35 ปี อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น
- การพิจารณาผู้ขอรับใบอนุญาตตามร่างมาตรา 18 เห็นควรกำหนดให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอรับใบอนุญาตอย่างละเอียดรอบคอบ โดยเฉพาะด้านสถานะทางการเงินและความมั่นคงในการประกอบธุรกิจ เพื่อป้องกันมิให้เกิดผลกระทบหรือความเสียหายต่อภาครัฐ
- การส่งเสริมการแข่งขัน และการป้องกันการผูกขาด ควรให้ความสำคัญกับการสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ และการพัฒนาระบบเทคโนโลยีเพื่อรองรับการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ (E-Payment) โดยให้เกิดการผูกขาด ทั้งนี้ การกำหนดอัตราทุนจดทะเบียนในมูลค่าสูง และต้องชำระเต็มจำนวน อาจเป็นข้อจำกัดต่อการปฏิบัติและข้อต่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการแข่งขันทางธุรกิจ
- ตามร่างมาตรา 19 (5) เกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของกรรมการหรือผู้มีอำนาจจัดการของนิติบุคคลที่เคยถูกเพิกถอนการอนุญาต เห็นว่าการกำหนดระยะเวลาเพียง 1 ปีในการกลับมาดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการอีกครั้งไม่เหมาะสม ควรกำหนดให้มีระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปี เพื่อความโปร่งใส ป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน และให้สอดคล้องกับร่าง พ.ร.บ. การขนส่งทางราง พ.ศ. …
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการอภิปรายของ สว. มีทิศทางสนับสนุนการออกกฎหมายดังกล่าว พร้อมเสนอแนะให้นำการดำเนินการพัฒนาระบบตั๋วร่วมจากต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จมาพิจารณากำหนดเป็นกฎหมาย เพื่อให้การปฏิบัติเกิดประโยชน์กับประชาชน และมีประสิทธิภาพต่อการบริการ และยังเสนอแนะให้เพิ่มความสะดวกให้ประชาชนในการใช้บริการ เช่น การจ่ายเงินผ่านระบบ QR Code เป็นต้น
ขณะที่ นพ.เปรมศักดิ์ เพียรยุระ สว. อภิปรายสนับสนุนและเสนอแนะว่า นโยบาย 20 บาทตลอดสายที่รัฐบาลชุดที่แล้วประกาศจะทำให้ได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งการกำหนดเวลาดังกล่าวเพื่อคะแนนนิยมทางการเมือง แต่เมื่อพิจารณาแล้วอาจทำไม่ทัน และภายใน 4 เดือนของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ กังวลว่าจะทำทันหรือไม่ หากทำไม่ทันต้องยืดเป็นการเลือกตั้งสมัยหน้า
อย่างไรก็ตาม เพื่อความรวดเร็วในการพิจารณาประสิทธิภาพของการทำกฎหมายรวมถึงไม่ทำให้กฎหมายที่ต้องใช้ร่วมกันกับระบบตั๋วร่วม 3 ฉบับ ควรเป็นกรรมาธิการชุดเดียวกัน เพื่อให้ไม่มีปัญหาต่อการปฏิบัติ และทำนโยบาย 20 บาทตลอดสายทำได้จริง
ขณะที่ อลงกต วรกี สว. อภิปรายว่า สำหรับการตั้งกองทุนสำหรับตั๋วร่วม ควรพิจารณาการจัดสรรงบเพื่อให้ดึงเป็นรายได้ของประชาชนในระบบ
หลังจากที่ประชุมได้อภิปรายแล้วเสร็จได้ลงมติรับหลักการด้วยเสียงเอกฉันท์ 155 เสียง และตั้งกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาขึ้นมาพิจารณา ทั้งนี้ ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเป็นร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเงิน วุฒิสภาต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 30 วันนับแต่ที่รับร่าง พ.ร.บ.มาถึงวุฒิสภา ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 กันยายนนี้
ต่อมาที่ประชุมได้เข้าสู่วาระพิจารณาร่าง พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ฉบับที่ … พ.ศ. … ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรลงมติเห็นชอบแล้ว โดยวุฒิชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการคมนาคม วุฒิสภา กล่าวนำเสนอผลการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าว ดังนี้
1.ร่างที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบมาตรา 65 รายได้ที่ รฟม. ได้รับจากการดำเนินการในปีหนึ่งๆ ให้ตกเป็นของ รฟม. และเมื่อได้หักรายจ่ายสำหรับการดำเนินงานทั้งปวง เหลือเท่าใดให้นำส่งเป็นรายได้ของรัฐ รายจ่ายสำหรับการดำเนินงาน ให้รวมถึงเงินที่ รฟม. จ่ายเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินการในกรณีที่มีการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม ในกรณีที่รายได้ไม่เพียงพอ และ รฟม.ไม่สามารถหาเงินที่อื่นได้ รัฐพึงจ่ายเงินให้แก่ รฟม. เท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินงานของ รฟม.
ดังนั้น คณะกรรมาธิการมีข้อห่วงใยต่อ สถานะทางการเงินของ รฟม. เมื่อต้องนำเงินรายได้ไปอุดหนุนนโยบายค่าโดยสารรถไฟฟ้าสูงสุด 20 บาทตลอดสาย
- ร่างที่สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบมาตรา 4 ให้ยกเลิกความใน (6) ของมาตรา 9 แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 และใช้ความต่อไปนี้แทน “(6) ออกพันธบัตรหรือตราสารอื่นใดเพื่อใช้ในการลงทุน หรือเพื่อประโยชน์แก่กิจการของ รฟม. โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี”
ดังนั้น คณะกรรมาธิการ เห็นด้วยกับสภาผู้แทนราษฎรที่ได้เพิ่มเติมข้อความว่า “โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี”
- มาตรา 5 ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็น (11/1) ของมาตรา 9 แห่ง พ.ร.บ. การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 “(11/1) ปกครอง ดูแล บำรุงรักษา จัดการ ใช้ และจัดหาประโยชน์ในทรัพย์สินของ รฟม.”
ดังนั้น รฟม. ควรพัฒนารูปแบบการหารายได้ ให้เพียงพอต่อการดำเนินงาน โดยเฉพาะการหารายได้จากพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ในขณะเดียวกัน ควรพัฒนามาตรการตรวจสอบและกำกับดูแลที่รัดกุม เป็นไปตามกรอบที่กฎหมายกำหนด และหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการเห็นควรเสนอที่ประชุมวุฒิสภารับร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวไว้พิจารณาต่อไป
จากนั้นที่ประชุมได้มีมติเสียงข้างมากเห็นชอบกับร่าง พ.ร.บ. ด้วยคะแนนเสียงเห็นด้วย 161 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ไม่ลงคะแนน ไม่มี และที่ประชุมได้มีมติตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ จำนวน 21 คน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี 4 คน สมาชิกวุฒิสภา 17 คน ทั้งนี้ มีการเสนอให้มีการแปรญัตติภายใน 7 วันทำการ