วันนี้ (17 กันยายน) ที่อาคารรัฐสภา กลุ่มสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ในบัญชีรายชื่อสำรอง นำโดย ธนวัฒน์ ศรีสุข และ อุทัย อัตถาพร ยื่นหนังสือถึงพรรคเพื่อไทยขอให้ติดตามตรวจสอบ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี กรณีคดีโกงฮั้วเลือก สว. ปี 2567 โดยมี อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย เป็นตัวแทนรับจากพรรคเพื่อไทย
ธนวัฒน์กล่าวว่า จากกรณีคดีทุจริตการฮั้วเลือก สว. 2567 ซึ่งมีความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2561 ทางคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวน และไต่สวน คณะที่ 26 ที่มี ร.ต.อ. ชนินทร์ น้อยเล็ก รองเลขาธิการ กกต. เป็นประธาน ทำงานร่วมกับ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
กลุ่ม สว. สำรองมีความห่วงใย และกังวลใจว่า รัฐบาลของ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหา จะเข้าไปก้าวก่ายหรือแทรกแซงในระหว่างรอ กกต. ส่งสำนวนคดีไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง จะกระทบต่อหลักการความถูกต้อง โปร่งใส เที่ยงธรรม อันเป็นอันตรายต่อระบอบประชาธิปไตย และผิดเจตนารมณ์การเตรียมยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน
ทั้งนี้ ทางกลุ่ม สว.ต้องการให้เป็นไปตามกฏหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ที่รัฐพึงคุ้มครองระบบยุติธรรมไม่ให้ถูกแทรกแซง เพราะขณะนี้มีแนวโน้มและข้อมูลบางส่วนว่า จะมีการแทรกแซงแล้ว ขนาดยังไม่แต่งตั้งรัฐบาล ยังมีมือลึกลับเข้าไปกดดันให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ดำเนินการสอบสวนปากคำพยานบางราย
ขณะที่ นายอนุสรณ์ กล่าวว่า วันนี้พรรคเพื่อไทยมาทำหน้าที่ ไม่ว่าจะในฐานะอดีตรัฐบาล หรือว่าที่ฝ่ายค้านก็ตาม แต่ความเดือดร้อนของประชาชนเป็นเรื่องที่พรรคเพื่อไทยจะต้องเข้าไปช่วยเหลือ และดูแล โดยเฉพาะกระบวนการฮั้ว สว. ที่ต้องเรียกว่าเป็นกระบวนการใหญ่ระดับชาติ มีคนรับรู้รับทราบจํานวนมาก มีคนตั้งคําถามทั่วทั้งประเทศกับปรากฎการณ์นี้
ดังนั้น ไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะอยู่ในบริบทใด เราเป็นฝ่ายค้านแท้ๆ ที่พร้อมทําหน้าที่ยืนหยัดเคียงข้างประชาชน โดยเฉพาะกลุ่ม สว.สํารอง ซึ่งเดินทางมายื่นร้อง และสิ่งที่เขายื่นไม่ได้เกินกว่าที่เขาควรจะร้องได้ เพราะเข้าเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อกระบวนการฮั้ว สว.ที่อาจทําให้ได้ สว.ที่อาจผิดฝาผิดตัวหรือไม่
ด้านอนุสรณ์ย้ำว่า พรรคเพื่อไทยจึงยินดีอย่างเต็มที่ ไม่ใช่ลูกนี้เข้าคอก แต่เป็นทางที่เราต้องเดินอยู่แล้ว และเป็นเรื่องที่เราต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไปว่า ผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐบาลมีความเกี่ยวข้องไม่เฉพาะเรื่องฮั้ว สว. แต่ยังมีกรณีเขากระโดง และเรื่องอื่นๆ ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจะรับภาระในส่วนนี้ ในการดําเนินการทั้งระบบรัฐสภา และบทบาทหน้าที่ในสภาฯ เราพร้อมจะดําเนินการควบคู่ไปกับภาคประชาชนต่อไป
ส่วนในวันแถลงนโยบาย พรรคเพื่อไทยในฐานะว่าที่ฝ่ายค้าน จะมีการอภิปรายตรวจสอบนโยบายหรือคุณสมบัติรัฐมนตรีที่จะเข้ามาทําหน้าที่หรือไม่ อนุสรณ์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเป็นสถาบันทางการเมือง ในการประชุมพรรคของเราทุกครั้ง เรามีการปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนกันในที่ประชุมพรรคว่า การทําหน้าที่ฝ่ายค้านแท้อย่างเหมาะสมลงตัวควรจะเป็นแบบไหนอย่างไร ความจริงในการแถลงนโยบาย
อนุสรณ์เปิดเผยว่า เรามีบางกลุ่มในพรรคเพื่อไทยเห็นว่า จะอภิปรายอะไรได้บ้าง เพราะใน MOA ที่มีการสนับสนุนร่วมกับพรรคประชาชน เขาก็บอกว่า ไม่ได้ให้อนุทินมาบริหารประเทศ แต่ให้มายุบสภาฉะนั้น เมื่อเป็นไปตามกรอบนี้ ก็ต้องมีการอธิบายนโยบายว่า ไทม์ไลน์ยุบสภาเป็นอย่างไร หากไปอธิบายเรื่องนโยบาย อาจจะผิดฝาผิดตัว
“พรรคเพื่อไทยไม่ได้ทํางานในพื้นฐานความแค้น หรือความฝังใจในอดีต หากเราสามารถอภิปรายข้อเสนอแนะเรื่องการแถลงนโยบายได้ เราก็พร้อมทําหน้าที่” อนุสรณ์กล่าว
อนุสรณ์ย้ำอีกว่า ในบันทึกข้อตกลง หรือ MOA แม้แต่การให้สัมภาษณ์ของพรรคประชาชน ก็ระบุว่า ไม่ได้เลือกนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนเก่ง คนดี หรือมาเพื่อบริหารประเทศ แต่เลือกมาเพื่อยุบสภา ดังนั้น จึงไม่แน่ใจว่าหากมีเรื่องอื่นนอกเหนือจากยุบสภา สามารถอภิปรายได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ต้องให้ฝ่ายกฎหมายดูก่อน แต่ยืนยันว่า เราทําหน้าที่ฝ่ายค้านตรวจสอบถ่วงดุล