วันนี้ (17 ธันวาคม) ในการประชุมวุฒิสภาครั้งที่ 2 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. …. ที่คณะกรรมาธิการร่วมกันพิจารณาเสร็จแล้ว
ก่อนหน้านี้วุฒิสภาเคยลงมติให้ปรับแก้หลักเกณฑ์ของการออกเสียงประชามติที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ใช้หลักเสียงข้างมาก 2 ชั้น (Double Majority) แต่สภาผู้แทนราษฎรไม่เห็นด้วยกับการปรับแก้ดังกล่าว และสนับสนุนให้ใช้หลักเสียงข้างมากชั้นเดียว (Simple Majority) จนนำมาสู่การตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันระหว่าง 2 สภา และกรรมาธิการร่วมกันยังคงเห็นชอบกับการปรับแก้ของวุฒิสภา
สว. ในกลุ่ม ‘สว. พันธุ์ใหม่’ ลุกขึ้นอภิปราย เช่น นันทนา นันทวโรภาส, อังคณา นีละไพจิตร, นรเศรษฐ์ ปรัชญากร และ เทวฤทธิ์ มณีฉาย เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับการใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น โดยยกเหตุผลว่า หากกลับมาใช้เสียงข้างมากชั้นเดียวจะสามารถลดความซ้ำซ้อนของการทำประชามติ และนำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
ทั้งนี้ กลุ่ม สว. พันธุ์ใหม่ ยังมองว่ากรณีดังกล่าวถูกนำมาใช้เป็นเกมการเมืองเพื่อยืดการแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปจนไม่เห็นอนาคต เพราะหาก สส. ไม่เห็นชอบกับการปรับแก้ของวุฒิสภาในครั้งนี้ จะต้องพักร่างกฎหมายไปอีก 180 วัน หรือถึงกลางปี 2568
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นชอบด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ตามที่คณะกรรมาธิการร่วมกันปรับแก้ให้ใช้หลักเกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น ด้วยคะแนนเสียง เห็นด้วย 153 เสียง ไม่เห็นด้วย 24 เสียง งดออกเสียง 13 เสียง
หลังจากนี้สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาร่างกฎหมายต่อ ซึ่งมีแนวโน้มว่าเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจะลงมติไม่เห็นชอบกับการใช้หลักการเสียงข้างมาก 2 ชั้นตามการปรับแก้ของวุฒิสภา จะทำให้ร่างกฎหมายต้องถูกยับยั้งไว้เป็นเวลา 180 วัน ก่อนจะนำกลับมาพิจารณาใหม่ เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรยืนยันการปรับแก้ตามหลักเกณฑ์เสียงข้างมากชั้นเดียว จึงจะสามารถเริ่มกระบวนการจัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญได้
