วันนี้ (29 สิงหาคม) ที่วุฒิสภา พล.อ. สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง ในฐานะประธานคณะกรรมการจริยธรรมวุฒิสภา กล่าวถึงความคืบหน้าในการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีที่ วัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องขอให้สอบสวนสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝาก ส.ต.ท.หญิงเข้ารับราชการ และทารุณทหารหญิง ว่าตามคำร้องนั้น ทราบว่าไม่ได้ระบุผู้ถูกร้อง เรื่อง และข้อบังคับที่ผิด ซึ่งไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์
ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมข้อมูล และในช่วงสัปดาห์นี้ประสานกลับไปยัง วัชระผู้ร้อง ว่าร้องใคร เรื่องอะไร และผิดข้อบังคับใด วันไหนที่ส่งข้อมูลมา วันนั้นจะเริ่มนับ 1 ตามกรอบเวลา 60 วัน หากไม่เสร็จสามารถขยายได้สูงสุด 120 วัน ถ้าไม่ระบุผู้ถูกร้องแล้ว เราไม่มีหน้าที่จะไปไล่สอบสวนหาข้อมูลว่าจะเป็นใคร จะไปเหมารวมว่าเป็น ส.ว. ก็ไม่ใช่ ดังนั้นต้องระบุว่าผู้ถูกร้องเป็นใคร นาย ก นาย ข เราก็จะไปถามว่าใช่หรือไม่
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงแนวทางการดำเนินการหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร พล.อ. สิงห์ศึกกล่าวว่า จะแยกเป็นสอบจริยธรรม และสอบประเด็นการแต่งตั้ง ส.ต.ท.หญิงคนดังกล่าว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหาหลักฐานและสืบสวนตามข้อเท็จจริง หากตรวจสอบชัดเจนว่าผู้ร้องระบุว่าเป็นใคร ถึงจะดำเนินการต่อ
พล.อ. สิงห์ศึกกล่าวต่อไปว่า วุฒิสภานั้นมีหลักเกณฑ์ มีวิธีการ มีประมวลจริยธรรมเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ สังคมและสื่อต้องช่วยกัน ตอนนี้ระบุแค่ ส.ว. จะจริงเท็จหรือไม่ หากไม่ใช่ ส.ว. แล้วสังคมหรือสื่อที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปใครจะรับผิดชอบ จะมีใครสักคนไหมที่จะมาขอโทษ ส.ว. แต่ถ้าใช่ ก็จะดำเนินการตามประมวลจริยธรรม ส.ว. ยืนยันว่า ส.ว. มีจริยธรรมอยู่ ดำเนินการตามขั้นตอน อย่าเหมารวมว่าสมาชิกวุฒิสภาทั้งหมด ขอให้ความเป็นธรรม เราทำงานให้ประชาชนเช่นกัน
ทั้งนี้ หากกรณีดังกล่าวเป็นเรื่องจริง โทษจะมีตั้งแต่ร้ายแรง คือพ้นสภาพ ส.ว. โดยจะต้องยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รองลงมาคือการตักเตือน ซึ่งโทษจะมีเป็นลำดับชั้นอยู่แล้ว