การเดินทางเยือน ไต้หวัน ของ แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกา ท่ามกลางความไม่พอใจของจีน ได้นำไปสู่การตอบโต้ด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจ โดยล่าสุดกระทรวงพาณิชย์ของจีนสั่งงดส่งออกทรายธรรมชาติไปยังไต้หวัน เพื่อตัดต้นธารวัตถุดิบทำแผ่นซิลิคอนสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งมีนัยว่าไต้หวันอาจขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับการผลิตสินค้าสำคัญชนิดนี้ ทำให้รายได้ส่งออกราว 40% ของไต้หวันมีความเสี่ยงจะลดฮวบถึงหายวับไปในที่สุด
นอกจากนี้ รัฐบาลจีนยังประกาศห้ามองค์กร วิสาหกิจ หรือบุคคลของจีน ทำธุรกรรมหรือความร่วมมือใดๆ กับ Speedtech Energy, Hyweb Technology, Skyla และ SkyEye GPS Technology รวมถึงห้ามนำเข้าสินค้าจากไต้หวันอีกกว่า 2,000 ชนิด และยังเตือนไม่ให้สายการบินพาณิชย์ต่างๆ บินเข้าใกล้ไต้หวัน เพื่อสร้างแรงกดดันทางเศรษฐกิจ
แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ไม่เพียงแต่จะสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไต้หวันเท่านั้น แต่ยังสั่นสะเทือนไปยังประเทศอื่นๆ ทั่วโลกอีกด้วย เนื่องจากปัจจุบันไต้หวันถือเป็นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ของโลกด้วยส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 50% ดังนั้น หากไต้หวันมีปัญหาย่อมหมายถึงปัญหาในหลายห่วงโซ่การผลิตทั่วโลกไปด้วย ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ ไอที สมาร์ทโฟน ที่ล้วนมีเซมิคอนดักเตอร์และชิปเป็นชิ้นส่วนสำคัญในการผลิตสินค้า
ปัญหาความตึงเครียดในช่องแคบไต้หวันเวลานี้ จึงทำให้ทั่วโลกหันมาส่องสปอตไลท์ไปที่บริษัทผู้ผลิตชิปในไต้หวันทั้ง 4 ราย ได้แก่ TSMC, UMC, VIS และ PSMC ว่าจะรับมือและแก้ไขสถานการณ์กันอย่างไร
เราลองไปดูกันว่าส่วนแบ่งการตลาดของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ในปัจจุบันถูกครอบครองด้วยบริษัทได้บ้าง เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าสถานการณ์ในไต้หวันเวลานี้นั้นมีความละเอียดอ่อนและเปราะบางเพียงใด
อ้างอิง: