นักลงทุนสถาบันยังเทหุ้นไทยต่อเนื่อง ล่าสุดขายสุทธิกว่า 3 พันล้าน มองดัชนีหุ้นไทยยังไร้เสน่ห์ แนะเพิ่มน้ำหนักลงทุนหุ้นต่างประเทศ
ตลาดหุ้นไทยยังได้รับแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองในประเทศ ส่งผลให้ SET วานนี้ (19 ตุลาคม) ปรับลดลง 24.93 จุด มาปิดตลาดที่ 1,208.75 จุด หรือลดลง 2.02% มูลค่าการซื้อขายรวม 54,008 ล้านบาท
โดยวานนี้ ‘นักลงทุนสถาบัน’ ขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวมกว่า 3,710 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 310 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ 2,522 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 877 ล้านบาท
สำหรับมุมของ ‘นักลงทุนสถาบัน’ ประเมินว่าตลาดหุ้นไทยยังคงไร้เสน่ห์ แนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนหรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในต่างประเทศแทน
มณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน บลจ.วรรณ กล่าวว่าตลาดหุ้นไทยยังขาดเสน่ห์ เนื่องจากยังไม่เห็นความชัดเจนจากหลายปัจจัยในระยะข้างหน้า โดยเฉพาะสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นค่อนข้างชัดเจนว่าจะมีความยืดเยื้อ ในมุมของนักลงทุนสถาบันแล้ว การลงทุนในตลาดหุ้นไทยคงต้องเลือกเป็นรายกลุ่มหรือเน้นการลงทุนในต่างประเทศแทน
สำหรับพอร์ตการลงทุนในช่วงนี้ยังคงให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดตราสารหนี้ 50% ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นให้น้ำหนัก 40% ในจำนวนนี้แนะนำให้ลงทุนในตลาดหุ้นไทยเพียงแค่ 10% เท่านั้น ที่เหลือลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยเน้นไปที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือกลุ่มอีคอมเมิร์ซเป็นหลัก
“ตลาดหุ้นไทยยังน่าจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ในกรอบจำกัด การลงทุนในช่วงนี้จึงควรเป็นลักษณะ Dollar Cost Averaging (DCA) ผ่านกองทุน เพราะเราไม่รู้ว่าช่วงไหนที่ดัชนีจะลงไปต่ำสุด หากจะเล่นหุ้นรายตัวก็มีความเสี่ยงสูง การลงทุนแบบ DCA ผ่านกองทุนจึงเป็นจังหวะเหมาะสมในช่วงเวลานี้”
ส่วนการลงทุนที่เหลืออีก 10% เน้นลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และทองคำ ซึ่งพอร์ตการลงทุนดังกล่าวสามารถให้ผลตอบแทนแล้วราว 6-8% นับตั้งแต่ต้นปี 2563
วิน พรหมแพทย์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล กล่าวว่าแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทยในระยะนี้จะผันผวนตามปัจจัยทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทั้งนี้ยังเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจลงทุนอยู่ โดยแนะนำให้เข้าลงทุนแบบสะสม หากระดับดัชนีปรับตัวลงมาอยู่ที่ 1,150 จุด
กลุ่มที่ยังน่าสนใจเข้าลงทุนคือหุ้นกลุ่มที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 มากนัก เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มโลจิสติกส์ และกลุ่มบริการดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ประมาณ 5%
“สถานการณ์การชุมนุมเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองยังเป็นปัจจัยที่กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยเคลื่อนไหวอย่างผันผวน แต่เชื่อว่าน่าจะได้เห็นทางออกในที่สุด หลังจากที่เมื่อเร็วๆ นี้ได้รับสัญญาณที่ดีจากการที่รัฐบาลจะมีการประชุมวิสามัญ จึงเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นจะผันผวนไม่รุนแรงมาก และน่าจะเคลื่อนไหวในระดับเหนือ 1,200 จุด”
วินกล่าวเสริมว่า ในการจัดสรรสินทรัพย์ (Asset Allocation) แนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ 30% ตลาดหุ้นไทย 20-30% ลงทุนในต่างประเทศ 30-40% โดยเน้นการลงทุนในกองทุนหุ้นต่างประเทศที่กระจายการลงทุนในประเทศที่เศรษฐกิจมีการเติบโตน่าสนใจ เช่น ตลาดหุ้นจีนและเวียดนาม และอีก 10% ลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก เช่น อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำอาจไม่น่าสนใจนัก เนื่องจากราคาทองคำปรับตัวขึ้นมาเยอะแล้ว
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์