สรุปปรากฏการณ์ Sell in May ปี 2564 ต่างชาติเทขายหุ้นไทยกว่า 3.3 หมื่นล้านบาท หรือเกือบ 50% ของยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบันที่ 6.6 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ภาพรวมดัชนีหุ้นไทย เดือนพฤษภาคมยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ 10.46 จุด มาปิดตลาดที่ 1,593.59 จุด หรือเพิ่มขึ้น 0.66%
ด้านความเห็นของนักวิเคราะห์ ‘ไม่ประหลาดใจ’ กับแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่เทออกมาจำนวนมาก และประเมินว่าแรงขายจะยังไม่หยุด แม้วานนี้ (31 พฤษภาคม) จะเริ่มกลับมาซื้อสุทธิครั้งแรกในรอบครึ่งเดือนที่ราวๆ 1,313 ล้านบาท ขณะที่ปัจจัยซึ่งจะทำให้ต่างชาติหวนกลับมาสนใจหุ้นไทยอีกครั้ง ‘ยังไม่มี’ พร้อมแนะเฟ้นหุ้น Domestic Play ที่กำไรเติบโตแกร่ง และฟื้นตัวอันดับแรกๆ เมื่อเริ่มเปิดประเทศอีกครั้ง
วิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิจัย บล.บัวหลวง กล่าวว่า การขายสุทธิหุ้นไทยของนักลงทุนต่างประเทศไม่น่าแปลกใจ และหากติดตามดูตัวเลขตั้งแต่ต้นปีจะพบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิหุ้นไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง ในมุมกลับกัน แม้ต่างชาติขายสุทธิ แต่ดัชนี SET ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น เหตุผลหลักจากสภาพคล่องในประเทศที่มีอยู่สูง ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ เงินจึงไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า
ทั้งนี้ ประเมินว่าทิศทางเงินทุนต่างประเทศยังคงไหลออกจากตลาดหุ้นไทยต่อ อย่างไรก็ตาม ในมุมของ SET Index ในเดือนมิถุนายนน่าจะติดลบน้อยกว่าเดือนพฤษภาคม และจะปรับตัวเป็นบวกในเดือนกรกฎาคม
“ตามสถิติแล้ว SET จะติดลบลดลงในเดือนมิถุนายน และปรับตัวเป็นบวกในเดือนกรกฎาคม เนื่องจากเป็นช่วงหลังจากการประกาศกำไร บจ. ซึ่งมักจะมีการคาดการณ์เงินปันผลระหว่างกาล และแนวโน้มธุรกิจครึ่งปีหลัง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกระแสบวก ปีนี้ก็น่าจะเป็นไปตามสถิติ แต่ก็มีปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด”
วิกิจกล่าวว่า ปัจจัยเรื่องการกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพจะมีผลต่อทิศทางของตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายน ซึ่งหากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารจัดการการกระจายวัคซีนได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาด และการเปิดประเทศ รวมทั้งการท่องเที่ยว จะฟื้นตัวและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อีกครั้ง
ดังนั้นแนะนำลงทุนในหุ้นที่ได้รับประโยชน์จาก Vaccination และ Re-Openning Theme ประกอบด้วย กลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม โรงพยาบาล และค้าปลีก
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มการเงินประเภทสินเชื่อรถยนต์ก็เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ จากการกลับมาเปิดให้ทำกิจกรรมทางสังคมอีกครั้ง ซึ่งจะทำให้อาชีพบริการฐานรากเริ่มกลับมาฟื้นตัว เช่น แท็กซี่ แกร็บ ร้านอาหาร สถานบันเทิง และยังทำให้ความต้องการสินเชื่อรถยนต์และรถยนต์มือสองฟื้นตัวด้วย
วิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า โดยปกติแล้วเดือนพฤษภาคมของทุกปีตลาดมักจะติดตามเรื่อง Sell in May ใน 2 มุม คือเรื่องแรงขายของนักลงทุนต่างประเทศและภาพรวมดัชนี (SET) ว่าปรับลดลงแค่ไหน ซึ่งในปีปกติตามสถิติมักเป็นภาพการขายสุทธิของต่างชาติและ SET ปรับตัวลดลง
อย่างไรก็ตาม ปีนี้แม้ต่างชาติจะขายสุทธิ แต่ SET กลับไม่ได้ปรับลง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีแรงซื้อจากนักลงทุนในประเทศทั้งฝั่งสถาบันและนักลงทุนรายย่อยคอยรับซื้ออยู่ตลอด โดยสัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยในตลาดหุ้นไทยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากกระแสหุ้น IPO ‘OR’ และ ‘TIDLOR’
สำหรับแนวโน้มการเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างประเทศประเมินว่ายังไม่เห็นสัญญาณกลับเข้าซื้อระยะยาว เนื่องจาก 3 เหตุผลหลัก คือ
- GDP ประเทศไทยไม่น่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค
- Valuation หุ้นไทยค่อนข้างแพง ไม่เป็นที่สนใจของนักลงทุน หากเทียบกับตลาดอื่นในภูมิภาค
- Story ยังไม่โดดเด่นเนื่องจากความโดดเด่นของประเทศไทยคือการท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันภาคการท่องเที่ยวของไทยยังซบเซาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวเร็วๆ นี้
อย่างไรก็ตาม หากประเมินเฉพาะมุมของความเคลื่อนไหว SET ในเดือนมิถุนายน เชื่อว่าเห็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นสลับกับการพักฐานเป็นระยะ โดยแรงซื้อหลักๆ คือฝั่งกองทุนในประเทศและนักลงทุนทั่วไป
ขณะที่ ณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์การลงทุน บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่น่าจะกลับเข้ามาสู่ตลาดหุ้นไทยในเดือนมิถุนายน เนื่องจากเทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้นจะกดดันการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลกมากขึ้น อีกทั้งค่าเงินดอลลาร์ยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ทิศทางการไหลของเม็ดเงินกลับข้าง
ฉะนั้นแนวโน้ม SET ในเดือนมิถุนายน จะได้แรงส่งจากสภาพคล่องในประเทศมากกว่า โดย พ.ร.ก. กู้เงิน 5 แสนล้าน ก็อาจจะเข้ามาช่วยได้บ้าง ขึ้นอยู่กับการเริ่มใช้มาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามในเดือนมิถุนายนปีนี้ยังเป็นปัจจัยต่างประเทศ คือการประชุม Fed และการหยิบยกประเด็น Trade War ขึ้นมาพูดอีกครั้ง เนื่องจาก โจ ไบเดน จำเป็นต้องเร่งผลักดันการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐาน จึงมีความเป็นไปได้ที่จะยกเรื่อง Trade War กับประเทศจีน ขึ้นมาพูดบนเวทีสาธารณะอีกครั้ง เพื่อประกาศความเข้มแข็งในการดำเนินนโยบาย
“ในเดือนมิถุนายนต้องลงทุนอย่างระมัดระวัง Trade War อาจจะกลับมารบกวนโอกาสการลงทุนมากขึ้น และแนะนำให้เน้นลงทุนในหุ้นที่ผลประกอบการมีทิศทางการเติบโตที่ชัดและอยู่ในกลุ่ม Domestic Play กลุ่มที่จะเป็นที่พักเงินในช่วงตลาดผกผันคือกลุ่มโรงไฟฟ้าและสื่อสาร”
สรุปปรากฏการณ์ Sell in May ปี 2564 ต่างชาติเทขายหุ้นไทยเกือบ 3.5 หมื่นล้านบาท เกือบ 50% ของยอดขายสุทธิตั้งแต่ต้นปีจนปัจจุบัน โดย CPALL, KTC และ STA ถูกเทขายมากสุด
ภาพประกอบ: กริน วสุรัฐกร
อ้างอิง:
- www.setsmart.com, ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)